Kohaku

โคฮากุ

โคฮากุ (Kohaku) มีประโยค อมตะของวงการปลาคาร์ฟกล่าวไว้ว่า “Keeping Nishikigoi begin with kohahu and end with kohaku” ผู้ที่นิยมชมชอบเลี้ยงปลาคาร์ฟ มักจะเริ่มต้นการเลี้ยงหรือชื่นชมด้วย ปลาคาร์ฟสายพันธุ์ โคฮากุ และจบที่ โคฮากุ ประโยคดังกล่าวสามารถยืนยัน ความงามอันเป็นอมตะของปลาสายพันธุ์นี้ได้ดีที่สุด จึงไม่แปลกที่ปลาสายพันธุ์นี้จะมีชื่อเรียกเฉพาะลักษณะของลวดลายบนตัวปลา (Patterns) ตลอดจนมีหลักเกณฑ์ในการตัดสิน ความสวยงามของปลาแต่ละตัวมากที่สุด นอกไปจากนี้หลักเกณฑ์ดังกล่าวยังสามารถใช้ขยายผลไปเป็นพื้นฐานในการพิจารณาความสวยงามของปลาสายพันธุ์อื่นได้อีกด้วยkohoku_03เรามักพิจารณาถึงความสวยงามของโคฮากุ ที่ความสว่างสดใสและสม่ำเสมอของสีแดง {beni (เบนิ)} , ความคมชัดของ ขอบเขตของลวดลายสีแดง {kiwa (คิวะ) กับ sashi (ซาชิ)} และ พื้นผิวสีขาวราวกับหิมะ

โคฮากุ คือ พื้นฐานเรื่องแพทเทิร์น ในปลาสายพันธุ์ต่างๆที่มีสีแดง การพิจารณาเปรียบเทียบความสวยงาม มักใช้แพทเทิร์นของโคฮากุเป็นพื้นฐาน การศึกษาเรื่องปลา โคฮากุ ต้องศึกษาถึง แพทเทิร์นในอุดมคติด้วย

สีขาว พื้นสีขาวของปลา ในทุกสายพันธุ์ ภาษาญี่ปุ่นเรียก Shiroji (ชิโรจิ) เมื่อเราพูดถึงพื้นสีขาว เราต้องให้ความสำคัญกับสีขาวมากพอกับสีอื่นๆ เช่น แดง หรือ ดำ ไม่ใช่แค่คิดว่าพื้น ไม่สำคัญเท่าสีอื่น ปลาตัวนี้มีพื้นสีขาว เหมือน หิมะ คือสีที่เป็นคุณลักษณะที่ โคฮากุ ควรมีkohaku_02Fukurin (ฟุคุริน) ช่วยดึงความงดงามให้เพิ่มขึ้นอีกขั้น

ฟุคุริน คือ ผิวหนังของปลา ทีทำให้เกิดรูปแบบของตาข่ายอันสวยงามรอบๆ เกล็ดในปลาบางตัวที่โตเต็มวัย เมื่อเราเลี้ยงปลาให้ใหญ๋ขึ้นเรื่อยๆ ความสวยงามของมันก็จะเพิ่มขึ้น สิ่งหนึ่งของเป้าหมายที่ท้าทายในการเลี้ยงปลา คือ การเลี้ยงพวกมันให้ใหญ่ที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ และให้สวยเต็มศักยภาพ

Odome (โอโดเหมะ)

ในปลาสายพันธ์โคฮากุ แพทเทิร์นสีแดง(Hi) ควรสิ้นสุดในพื้นที่ส่วนของหาง เส้นระหว่างแดงและขาว เรียกว่า โอโดเหมะ แพทเทิร์นสีแดงในส่วนหาง เรียก โอโดเหมะ ฮิ (Odome Hi) การมีโอโดเหมะที่สวยงาม สามารถเปลี่ยนแปลงมูลค่าของปลาได้เลยทีเดียว ดังรูปที่แสดง ถือว่าเป็น Odome Hi ที่สวยงามในอุดมคติ ได้เลย การมีลักษณะที่ดีเช่นนี้ ทำให้เป็นปลาที่มีชื่อเสียงมากตัวหนึ่ง จงจำไว้ว่า การเปิดข้อหางที่ดีและสวยงาม(ขอบคมด้วย) เป็นเรื่องสำคัญมากๆเรื่องหนึ่งในการคัดเลือกปลาให้เกิดความน่าพอใจสูงสุด โดยความสำคัญของโอโดเหมะ เป็นพื้นฐานในการพิจารณาปลาเกือบทุกสายพันธุ์ด้วยเช่นกัน

Hi (ฮิ) สีแดงของโคฮากุ เรียกเป็นภาษาญี่ปุ่นว่า ฮิ

แพทเทิร์นเรียกเป็นภาษาญี่ปุ่นว่า ฮิ โมโย (Hi – moyo) ในปลาโคฮากุ สีแดงที่หนา คือ แดงที่ดีกว่า แต่ถึงอย่างไรก็ตาม ถ้าแดงมากๆ แดงจนดำ ไม่ได้แปลว่าเป็นแดงที่หนา แถมไม่เป็นที่ต้องการอีกด้วย แดงของปลาในรูป คือ แดงในอุดมคติ

 สีแดงของปลาจะอ่อนเมื่ออายุยังน้อย และจะค่อยๆพัฒนาให้หนาและดีขึ้นไปเรื่อยๆเมื่อโตขึ้น ความเข้มของสีแดง ขึ้นอยู่กับ จำนวนของเม็ดสี (carotene) ที่ปลาดูดซึมได้จากอาหาร เพราะฉะนั้น เราควรให้อาหารเร่งสีบ้าง เพื่อเพิ่มความหนาให้แก่สีแดง ในขณะเดียวกัน สิ่งที่สำคัญอย่างหนึ่งในแพทเทิร์นสีแดงก็คือ การที่แพทเทิร์นห่อลงเลยเส้นข้างลำตัวของปลา หรือที่เรียกว่า มากิ (Maki)kohoku_12Toh Hi (โต้ะ ฮิ)

สีแดงที่ตาของปลา และหัวของปลาก็มีความสำคัญเหมือนกับหน้าของคน สีแดงที่หัวของปลา เรียก Toh Hi ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญมากๆเพราะ เป็นส่วนที่แสดงถึงลักษณะของปลาให้เห็นอย่างชัดแจ้ง ในอุดมคติ จำนวนของสีแดงที่หัวต้องบาลานซ์กับสีแดงที่หาง หรือ โอโดเหมะฮิ

การมีสีแดงที่บาลานซ์ ก็ทำให้รู้สึกได้ถึงความสวยงาม แม้กระทั่งคนที่ไม่เคยศึกษาเรื่องปลาคาร์ฟมาก่อนก็รู้สึกได้ ว่า เปิดหัว เปิดข้อหาง สวยกว่าหน้าปิด แดงติดหาง แม้จะไม่รู้ว่าทำไมเลยก็ตามkohaku_01ตาก็เป็นส่วนสำคัญอีกส่วนหนึ่งของปลา สีของตาปลาเป็นส่วนหนึ่งที่ทรงอิทธิพลในการเปรียบเทียบปลา ตาที่สวยงาม เป็นสิ่งที่ผู้เลี้ยงต้องนำมาพิจารณา ปลาที่มีตาโตแต่แสดงให้เห็นถึงความอ่อนโยนนุ่มนวลก็เปรียบเหมือนสาวสวย ที่เป็นที่หมายปอง เพราะ ตา คือ ส่วนที่แสดงถึงลักษณะส่วนตัว ของปลาตัวนั้นๆนั่นเอง

มาตรฐานในการพิจารณาปลาสายพันธุ์นี้ โดยเบื้องต้นมีดังนี้

สีขาว ที่เป็นสีพื้นต้องขาวบริสุทธิ์ หรือขาวหิมะ

สีแดงบนตัวปลา (Hi) จะต้องแดงสดหรือแดงเลือดนก แต่บางสายพันธ์เช่นฟาร์ม Sakai อาจจะมีออกโทนส้มเข้มๆ ยังถือว่าอยู่ในหลักเกณฑ์ของสีแดง สีแดงต้องหนาและแน่น ถ้าสีแดงถึงจะสดแต่ดูบางอาจจะมีปัญหาสีซีดจางภายหลัง ช่วงที่ปลาตัวโตขึ้น ขอบของสีแดงต้องชัดและคม ไม่ควรมีขอบแดงที่เบลอมากจนเกินไป ทั้งสีขอบเกล็ดตอนหน้า (Sashi) ไม่ควรจางเกิน 2 แถวของเกล็ดตอนหน้า ตลอดจนสีทับตอนหลังและด้านข้างของเกล็ด (Kiwa) ไม่ควรมีขอบที่เบลอมากจนเกินไป ควรต้องคมชัด ไม่ควรมีสีแดงที่ครีบหน้า (Pectoral fins) และที่หาง (Caudal fin) แต่ในการประกวดปัจจุบัน อาจจะมีการอนุโลมได้บ้าง

สีแดงที่หลังของปลา ต้องมีลวดลายไม่ต่ำลงมาเกินเส้นประสาทกลางลำตัวปลา จะอย่างไรก็ตามมาตรฐานหลักข้อนี้ ปัจจุบันได้รับการอนุโลมไปมากที่สุด สีแดงบนหัว ของปลาต้องไม่ล้ำเกินส่วนจมูกของปลา ไม่เลยทับดวงตาของปลาแต่หยุดที่ขอบตาได้ ส่วนหัวของปลา (Hachi) ต้องมีสีแดง ขอบสีแดงบนหัวปลาตอนหน้าควรจะเป็นรูปเกือกม้าหรือตัวยู (Kutsubera)kohoku_04สีแดงตอนสุดท้ายของปลา (Ojima) จะต้องหยุดห่างจากโคนหางเล็กน้อย เพื่อให้เกิดช่องว่างสีขาวบริเวณโคนหาง ก่อนที่จะถึงส่วนหางของปลาที่เรียกว่า “Odome” หรือที่เรียกกันในวงการปลาบ้านเราว่า”ท้ายเปิด” สีแดงบนตัวปลาจะต้องมีความสมดุลย์ ไม่ค่อนไปทางด้านใดด้านหนึ่ง (ซ้ายหรือขวา) อย่างที่เรียกว่า “Kata-moyo” หรือ ”Kata-gara” จะเห็นได้ว่าเป็นการยากที่จะหาปลาที่มีคุณสมบัติตามที่กล่าวมาได้ครบถ้วน และถึงแม้หาได้ ปลาที่มีคุณสมบัติดังกล่าวก็ควรจะดูเหมือนกันไปหมด ขาดความน่าสนใจและความมีเสน่ห์ อันเป็นเอกลักษณะของปลาแต่ละตัวไป ดังนั้นจึงมีคำศัพท์เฉพาะที่ใช้เรียกลักษณะลวดลายที่แตกต่างกันออกไปอีกดังนี้kohoku_11Komoyo หมายถึง ปลาโคฮากุที่มีลวดลายสีแดงบนตัวเป็นพื้นที่เล็ก มีพื้นที่สีขาวบนพื้นที่หลังรวมแล้วมากกว่า 50% ลวดลายแบบนี้มักจะเป็นที่สะดุดตาของนักเลี้ยงปลามือใหม่ และยังดูดีเมื่อเป็นปลาขนาดเล็ก แต่พอเมื่อปลามีขนาดใหญ่ขึ้น ปลาลวดลายแบบนี้มักจะดูขาดความน่าสนใจไป

Omoyo หมายถึง ปลาโคฮากุที่มีลวดลายสีแดงบนตัวเป็นพื้นที่ใหญ่ เหลือพื้นที่สีขาวบนหลังรวมแล้วน้อยกว่า 50% นักเลี้ยงปลาที่มีประสบการณ์มักจะเลือกปลาที่มีลักษณะลวดลายเช่นนี้ เพราะเมื่อปลาโตขึ้นจะมีความสวยงามมากขึ้น จากการขยายออกของพื้นที่สีขาวบนหลัง ข้างตัว และส่วนท้องของปลาkohoku_07Danmoyo, Dangara หมายถึง ปลาที่มีลวดลายบนหลังแบ่งเป็นตอนๆ ในภาษาญี่ปุ่น “Dan” แปลว่า “ตอน” หรือ “Step” ในภาษาอังกฤษ โดยยังมีการเรียกตามจำนวนตอนบนตัวปลาไปอีกดังนี้

Nidan Kohaku หมายถึง ปลาโคฮากุที่มีตอนสีแดง 2 ตอน (Ni แปลว่า สอง, Dan แปลว่า ตอน)

Sandan Kohaku หมายถึง ปลาโคฮากุที่มีตอนสีแดง 3 ตอน (San แปลว่า สาม) ปลาโคฮากุชนิด 3 ตอนนี้ นิยมว่าเป็นตอนมาตรฐานของปลาโคฮากุkohoku_05Yondan Kohaku หมายถึง ปลาโคฮากุที่มีตอนสีแดง 4 ตอน (Yon แปลว่า สี่) ปลาโคฮากุชนิด 4 ตอนจะค่อนข้างหายาก และเป็นที่นิยมของนักเลี้ยงระดับมืออาชีพ ถ้าลวดลายได้แบบมาตรฐาน ซึ่งจะมีราคาค่อนข้างสูง

Godan Kohaku หมายถึง ปลาโคฮากุที่มีตอนสีแดง 5 ตอน (Go แปลว่า ห้า) ปลาโคฮากุชนิด 5 ตอนจะหายากมาก ซึ่งลวดลายที่มีช่วงตอนมาก อาจจะทำให้พื้นที่ขาวน้อยเกินไปได้

Bozu หมายถึง ปลาที่ไม่มีสีแดงบนหัวเป็นปลาที่ถือว่า ไม่สวยงามมักจะถูกคัดทิ้งตั้งแต่การคัดลูกปลาครั้งแรก คำว่า “Bozu” ในภาษาญี่ปุ่นความหมายตรงตัวแปลว่า “นักบวช”

Zubon-haki หมายถึง สีแดงที่ไม่จบลงที่โคนหาง แต่กลับเลอะเข้าไปในบริเวณหางด้วย นอกจากนี้ สีแดงดังกล่าวยังปกคลุมบริเวณโคนหางส่วนใหญ่ ลวดลายชนิดนี้ถือว่าไม่สวยงามเนื่องจากขาดความสมดุลย์ ระหว่างตอนหน้ากับตอนหลังของตัวปลา คำว่า “Zubon-haki” ความหมายตรงตัวแปลว่า “กางเกงขายาว”

Bongiri หมายถึงสีแดงในลักษณะตรงข้ามกับ “Zubon-haki” คือ ปลาที่ไม่มีสีแดงในช่วงหางทำให้ ดูคล้ายกับปลาตัวนั้นใส่กางเกงขาสั้น

Ippon Hi หมายถึง ลวดลายบนตัวปลาที่ไม่เป็นแบบ Danmoyo (Step pattern) แต่กลับเป็นตอนเดียว ตั้งแต่หัวไปจรดโคนหาง ลวดลายแบบนี้ถ้าเป็นไปแบบเรียบๆ ตรงๆ มักจะไม่เป็นที่นิยม แต่หากลวดลายตอนเดียว ซิกแซกไปมาจะเรียกว่า Inazuma แปลาว่าสายฟ้าลวดลายประเภทนี้กลับเป็นที่ต้องการและนิยมมากประเภทหนึ่ง

Maruten หมายถึง ปลาที่มีสีแดงกลมอยู่บนหัว บนตัวมีลวดลายตามปกติของปลาโคฮากุ หากตัวที่มีสีแดงกลมบนหัวแล้วตัวขาวล้วนจะถูกเรียกว่า Tancho Kohaku คำว่า “Maruten” ในภาษาญี่ปุ่นแปลว่า “มงกุฎ” ลวดลายแบบ Maruten นี้ เป็นลวดลายที่ได้รับความนิยมประเภทหนึ่ง

Kuchibeni หมายถึง ปลาที่มีสีแดงแต้มที่ปาก สีแดงที่ปากนี้จะมีประโยชน์ ในกรณีที่เกิดขึ้นกับปลาที่มีสีแดงบนส่วนหัวน้อยเกินไปเพราะจะทำให้ลวดลายดูสมดุลย์ขึ้น แต่หากเกิดขึ้นกับปลาที่มีลวดลายบนส่วนหัวสวยงามดีอยู่แล้ว ก็อาจทำให้ปลาตัวนั้นดูด้อยลงก็ได้ คำว่า “Kuchi” แปลว่า “ปาก” ส่วน “Beni” แปลว่า “แดง” ดังนั้นแปลรวมๆ จึงหมายความว่า “ปากแดง” หรือ ที่นักเลี้ยงเรียกกันว่า “ลิปสติก” นั่นเองkohoku_10Hanatsuki หมายถึง สีแดงบนส่วนหัวของปลาที่ไม่หยุดลงที่จมูก แต่กลับต่อเนื่องยาวลงมาจนถึงปาก

Menkaburi หมายถึง สีแดงที่ปกคลุมไปทั้งส่วนหัว หรือแถบใดแถบหนึ่งของส่วนหัว คำว่า “Menkaburi” แปลงตรงตัวหมายถึง “หมวกคลุมผมสีแดง (Red hood)” ซึ่งดูเผินๆ แล้ว จะดูเหมือนปลาที่มีลวดลายแบบนี้สวมหมวกคลุมผมสีแดงอยู่จริงๆ

เนื่องจากปลาโคฮากุเป็นปลาสายพันธุ์เริ่มต้นของปลาคาร์ฟ ดังนั้นจึงได้มีการนำคำศัพท์ที่กล่าวมาบางส่วน นำไปใช้ในการกำหนด ลักษณะ บนปลาสายพันธุ์อื่นอีกด้วย ซึ่งจะกล่าวถึงในหัวข้อต่อๆ ไป

นอกจากที่กล่าวมาแล้วยังมี ปลาโคฮากุ ในชื่อลักษณะของลวดลายบนตัวอีกมากมาย เช่น Goten-Sakura, Doistu Kohaku, Kanoko Kohaku, Napoleon Kohaku, Fuji Kohaku, Aka Hajiro, Aka muji และ Shiromuji ก็ยังจัดอยู่ในกลุ่มของปลาขาวแดงคือ ปลาโคฮากุ นั่นเอง

Taisho Sanshoku

ไทโชซันโชกุ

คิดอยู่นานครับ กว่าจะตัดสินใจได้ว่าปลาคาร์พสายพันธุ์ที่สอง ที่จะนำมาเสนอ น่าจะเป็นสายพันธุ์อะไรดี ระหว่าง “ไทโชซันโชกุ” กับ “โชวาซันโชกุ”  มีตัวเลือกอย่างนี้เลือกยากซะด้วยสิ เพราะชอบทั้งคู่

เลือกเอา ไทโชซันโชกุ ดีกว่า ซึ่งไทโชซันโชกุ น่าจะมีมุมมองความคล้ายคลึง กับโคฮากุมากกว่า และหลายสิ่งหลายอย่างที่เกี่ยวกับโคฮากุ มันนำมาเป็นบรรทัดฐานใช้ได้กับ ไทโชซันโชกุ ได้อย่างดีทีเดียว ขอบอก..มีนิทานปรำปราของญี่ปุ่น ได้เล่าขานถึงที่มาของเจ้าคาร์ฟนี้ว่า อันแท้ที่จริงแล้วไทโชซันโชกุ นั้นก็คือโคฮากุ ที่ถูกพระเจ้าสาปให้มีสีกระดำกระด่าง

ถึงจะถูกพระเจ้าสาบให้มีจุดสีดำด่าง ตามนิทานเรื่องเล่าปรำปราแหม่งๆ นั่นจริง แต่สำหรับคอปลาคาร์ฟแล้ว มันเป็นอะไรที่สวยมาก ขอบคุณพระเจ้าที่ประทานปลาสวยงามมาให้พวกเราได้ชื่นชม

– มาทำความรู้จักกับชื่อของปลาคาร์ฟสายพันธุ์นี้กันหน่อยดีกว่า ว่ามันมีความหมายว่าอะไร?

เกือบทั้งหมดทั้งสิ้นของชื่อเรียกสายพันธุ์ปลาคาร์ฟ มักจะบ่งบอกถึงลักษณะของปลานั้นๆ ถ้าใครรู้ภาษาญี่ปุ่น เพียงแต่ได้ยินชื่อเรียก น่าจะจินตนาการออกแล้วว่า   ปลาที่เอ่ยชื่อมานั้นจะมีลักษณะลวดลายเช่นไร ญึ่ปุ่นเจ้าตำหรับเค้าก็ตั้งชื่อ เรียกชื่อมันตามที่เห็นนั่นแหละยกตัวอย่างโคฮากุ แปลตรงตัวว่าปลาขาวแดง ตามสีสันที่ปรากฏให้เห็นที่ลำตัว นักเลี้ยงปลาหน้าใหม่บ้านเรากับครั้งแรกที่เห็น ยังเรียกแบบง่ายๆ ฟังแล้วเข้าใจชัดแจ้งไม่ต้องตีความให้เยิ่นเย้อเลยว่า “ไอ้ขาวแดง”

ส่วน “ไทโชซันโชกุ” เมื่อแยกแยะคำออกมาเป็นสองส่วนแล้ว ก็จะได้ความหมายดังนี้ คำว่า “ไทโช” เป็นชื่อยุคการปกครองยุคหนึ่งของญี่ปุ่น เหมือนสยามประเทศของเรา มีการปกครองยุคสุโขทัย  ยุคกรุงศรีฯ อะไรทำนองเนี้ย ส่วน “ซันโชกุ” นั้นหมายความว่า สามสี รวมความแล้ว “ไทโช+ซันโชกุ”  ก็คือปลาคาร์ฟสามสี ที่ตั้งชื่อให้เป็นเกียรติแก่ยุค “ไทโช” เพราะว่าโดยแท้ที่จริงแล้ว  “ไทโชซันโชกุ” ที่มีสีสัน 3 สี   อันประกอบไปด้วยสีขาว ดำ แดง ได้ถูกพัฒนาสายพันธุ์จากเดิมที่ดูธรรมดามากๆ จนกลายเป็นปลาคาร์พยอดนิยม เคียงคู่ สูสี เบียดเสียดชนิดหายใจรดต้นคอ กับโคฮากุ  ในยุค “ไทโช” นี่แหละtaisho_sanshoku_01– ข้อสำคัญควรรู้ บ้านเราไม่นิยมเรียกปลาคาร์ฟสายพันธุ์นี้ว่า”ไทโชซันโชกุ” นะครับ มันยาวพูดติดๆ ขัดๆ ไม่ถูกลิ้นคนไทย ก็เลยเรียกมันซะสั้นๆ ว่า “ซันเก้” ซึ่งสันนิษฐานว่า น่าจะเพี้ยนมาจากคำว่า “ซังเขะ” ซึ่งเป็นอีกชื่อเรียกหนึ่งของ “ไทโชซันโชกุ” มีความหมายว่าสามสีเหมือนกัน ครั้นจะเรียก “ซังเขะ” ตามสำเนียงญี่ปุ่นรึ  ก็ยังขัดๆ เขินๆ ปากอยู่ เรียก “ซันเก้” นี่แหละแน่นอน สะดวกปากที่สุดและต่อจากนี้ไป  ก็จะขอเรียก “ไทโชซันโชกุ” หรือ “ซังเขะ” นี้ว่า “ซันเก้” ไปตลอดงานเขียนครับ และก็อยากเชิญชวนนักเลี้ยงหน้าใหม่  เรียกเจ้าปลาคาร์ฟสายพันธุ์นี้ว่า “ซันเก้” ด้วย เพราะว่ามันจะสะดวกเวลาที่คุณเข้าไปซื้อปลาตามฟาร์มในบ้านเรา เผลอไปเรียกชื่อ”ไทโชซันโชกุ” เต็มยศ พนักงานในฟาร์มเค้าจะไม่ทราบ

– แล้วไอ้ปลาสามสี ขาว ดำ แดง ที่มีชื่อเรียกว่า ซันเก้ นี่มันมีรูปแบบพื้นฐานยังไงกันนะ?

สมมุติว่าคุณเป็นคนนึงที่ยังไม่ได้เลี้ยงปลาคาร์ฟ หรือยังอยู่ในช่วง เก็บเกี่ยวข้อมูล   และบังเอิญได้มาติดตามการงานเขียนนี้ คุณก็คงจะรู้จักเพียงแค่ โคฮากุ “ราชันย์ขาวแดง” ที่แนะนำไปก่อนหน้านี้ หน้าตาของเจ้า ซันเก้ เป็นยังไง คงยังนึกไม่ออก  เอาแบบง่ายๆ เลย  จับเจ้าโคฮากุมาตัวนึง แล้วก็เอาภู่กันจุ่มหมึกดำ จุ่มแล้วก็สลัด ชิ้วๆ ลงบนตัวโคฮากุ นั่นแหละราชันย์ขาวแดง “โคฮากุ”  ก็จะกลายเป็นเจ้าเทพบุตรจุดดำ “ซันเก้” ไปในบันดล คงพอนึกภาพออกแล้วใช่ไหมครับว่าโคฮากุ เมื่อถูกหมึกดำสลัดใส่ จนกลายเป็นซันเก้จะมีหน้าตายังไง ถ้านึกไม่ออกก็ดูรูปเลยดีกว่า  รูปประกอบทั้งหมดเป็น ซันเก้ ทั้งนั้น สรุปแล้วรูปแบบพื้นฐานของซันเก้ ก็คือโคฮากุที่มีจุดหรือแต้มสีดำเป็นองค์ประกอบขึ้นมาอีกหนึ่งสี จุดสีดำของซันเก้ มีชื่อเรียกสั้นๆ จำง่าย สองพยางค์ ว่า “ซูมิ” พูดอีกนัยหนึ่งมันก็คือปลาคาร์ฟ ที่ประกอบไปด้วย ” ชิโรจิ” คือพื้นสีขาว “ฮิ” คือลวดลายสีแดง “ซูมิ” คือจุดหรือแต้มสีดำtaisho_sanshoku_05– ศึกษาประวัติความเป็นมาของมันสักนิด โดยแท้ที่จริงปลาคาร์ฟสายพันธุ์นี้มีมานานแล้ว ก่อนยุคไทโชด้วยซ้ำ ถ้าดูเอาจากชื่อเต็มยศของมัน ที่มีคำว่า “ไทโช” นำหน้าร้อยทั้งร้อยก็ต้องเข้าใจเหมือนกันหมดว่า ต้องเป็นปลาคาร์พที่ถือกำเนิดเกิด ในยุคไทโช ( ค.ศ.1912-1926 ) แต่ในความเป็นจริงแล้วไม่ใช่อย่างที่คิดครับ ในบันทึกเกี่ยวกับปลาคาร์ฟได้กล่าวไว้อย่างชัดเจนว่า ปลาสามสีได้ถูกค้นพบมานานแล้วก่อนยุคไทโชอย่างแน่นอน เพราะว่าในยุคเมจิ ( ค.ศ.1868-1912 ) ได้มีการกล่าวขานถึงปลาคาร์ฟที่มีจุดสีดำที่ลำตัวกันบ้างแล้ว ปลาสามสีในยุคเมจิถูกพบแถบๆเมือง ฟูกูโระ ใกล้กับเมืองนิกาตะ ซึ่งเป็นเมืองสำคัญของการกำเนิดปลาคาร์ฟในยุคก่อน

นอกจากนั้นยังมีบางบันทึก ได้กล่าวลึกลงไปอีกว่า การกำเนิดของปลาสามสีมีมาเนิ่นเนิ่นนาน ใกล้เคียงกับการกำเนิดของโคฮากุ ในยุคปี 1800 ปลาสามสีในยุคนั้นเกิดจากการผ่าเหล่า ( Mutant ) เองโดยธรรมชาติเช่นเดียวกันกับโคฮากุ เพียงแต่ว่ารูปแบบของปลาสามสีที่ถือกำเนิดจากการผ่าเหล่าโดยธรรมชาติ ปราศจากการแต่งแต้มของมนุษย์นั้น เป็นอะไรที่ไม่ค่อยดี สะเปะสะปะดูไม่ได้ ไม่เข้าตากรรมการ  ด้วยที่รูปแบบของซันเก้ในยุคแรกกำเนิด มันไม่งดงามเหมือนอย่างในยุคปัจจุบัน ที่เราเห็นกันทุกวันนี้ นักเลี้ยงปลาคาร์ฟในยุคนั้นจึงไม่มีใครให้ความสนใจกับมันนัก

– การกำเนิดแท้จริงของ ซันเก้ ยุคใหม่ ถือกำเนิดขึ้นในยุค ” ไทโช” มาว่ากันที่ปี ค.ศ.1914 ซึ่งอยู่ในยุคไทโช ที่จังหวัดนิกาตะ ตำบลอูราการะ หมู่บ้าน มุยไกชิ และขอเอ่ยนาม นายเฮอิทาโร่  ซาโตะ เขาผู้นี้เป็นนักเพาะปลากระเดื่องนามคนหนึ่งในนิกาตะ ปลาที่ นายเฮอิทาโร่ เพาะก็คือโคฮากุ ปลาคาร์ฟสายพันธุ์ดังในยุคนั้น ครั้งหนึ่ง นายเฮอิทาโร่ได้ทำการเพาะพันธุ์ โดยใช้แม่พันธุ์โคฮากุ 1 ตัว กับพ่อพันธุ์โคฮากุ 2 ตัวสูตรนี้นักเพาะปลาคาร์ฟ เรียกว่าสูตร 2 รุม 1 ฟังดูก็ปกติไม่น่ามีปัญหาอะไร แต่เรื่องของเรื่องก็คือว่า หนึ่งในพ่อพันธุ์โคฮากุนั้นเป็นปลาที่มีจุดสีดำ สองจุดที่ตำแหน่งใกล้ชายโครงกับใกล้ครีบอก และผลของการตะลุมบอนแบบ 2 รุม 1 โดยมีโคฮากุที่มีจุดสีดำ ตัวดังกล่าว ร่วมสังฆกรรมด้วยนั้น ผลที่ออกมาก็คือ สาวเจ้าท้องป่องและได้ให้กำเนิดลูกน้อยออกมาฝูงใหญ่taisho_sanshoku_07เรื่องของเรื่องไม่จบเพียงแค่นั้น เพราะปรากฏว่าลูกปลาในชุดนั้น มีอยู่จำนวนหนึ่งที่มีจุดสีดำขึ้นที่ลำตัวถอดแบบเอามาจากพ่อบังเกิดเกล้าเป๊ะเลย แต่ชั่วโมงนั้น นายเฮอิทาโร่ ไม่ได้ให้ความสนใจอะไรเลย นึกฉุนเฉียวซะอีกที่ลูกปลาดันมีสีดำติดมาด้วย  มองดูแล้วสกปรกพิกล เคราะห์กรรมกระหน่ำถาโถมเจ้าลูกปลาจุดดำนี้อีกระลอก   คราวนี้ละรอกใหญ่ซะด้วย เพื่อนของนายเฮอิทาโร่ ที่เป็นนักเพาะปลาด้วยกันมาพบเข้าดันปากบอน พี่แกเล่นให้คำแนะนำว่า อย่านำเอาปลาเหล่านี้ไปขายรวมกับโคฮากุเชียวนา จะทำให้ขายโคฮากุไม่ออก ดีไม่ดีจะพลอยทำให้ชื่อเสียงไม่ดีไปด้วย   และหยอดท้ายด้วยมุขเด็ด อย่ากระเลยเอาปลาจุดดำพวกนี้ ไปต้มรับประทาน ซึ่งช่างเป็นคำแนะนำที่ประเสริฐจริงๆ นายเฮอิทาโร่ ก็บ้าจี้ตามซะด้วย เอาไปต้มซีอิ๊วเหลือไว้ให้ดูต่างหน้าเพียง 3 ตัว

– จากลูกปลาที่เหลือเพียง 3 ตัว ต่อมาได้ให้กำเนิด ซันเก้ ยุคใหม่ตามมาอีกมากมาย มาว่าถึงลูกปลาที่เล็ดรอดชีวิตอยู่ 3 ตัวนั่นต่อ ลูกปลาสามตัวที่เหลือนี่ไม่ใช่นายเฮแก เกิดใจบุญขึ้นกระทันหันนะ จริงแล้ว นายเฮ ตั้งใจจะต้มให้หมดนั่นแหละ   แต่ชะรอยชะตาเจ้า 3 ตัวนี้ยังไม่ถึงฆาต ลูกชาย นายเฮได้มาเจอ และมองเห็นแววความงามของพวกมันเข้าซะก่อน จึงนำไปใส่กระชังเลี้ยงไว้ นายชูโซ คาวากามิ แห่งฟาร์มโทราโซ ได้มาพบเข้า และขอซื้อต่อเอาไปเลี้ยงเป็นพ่อแม่พันธุ์ ซื้อเจ้า 3 สี 3 ตัวนี้ไปในราคา 3 เซน หลังจากขายเจ้าสามตัวนั่นไปแล้ว นายเฮของเราเริ่มคิดได้ ว่าน่าจะพัฒนาสายพันธุ์ปลาที่มีสามสีนี้ขึ้นมา เผื่อฟลุคเกิดเป็นที่ต้องการของนักนักเลี้ยงขึ้นมา ว่าแล้วก็เลยจัดแจงนำพ่อแม่พันธุ์ชุดเก่า ที่ให้กำเนิดปลา 3 สีชุดนั้นมาเพาะพันธุ์อีกครั้ง ปรากฏว่าคราวนี้ได้ลูกปลา 3 สี ออกมานิดเดียว เหมือนไม่ตั้งใจมาเกิด ลูกปลา 3 สีที่ได้มานั้นมีเพียง 10 ตัวเท่านั้นเอง เมื่อผลออกมาผิดคาด เช่นนี้ นายเฮ เปลี่ยนแผนใหม่ ขายส่งไปเลย เพื่อให้คนอื่นเอาไปพัฒนาต่อดีกว่า   ฟาร์มที่มารับช่วงต่อไปคือ ฟาร์มโชเบอิ แห่งเมือง ยามานากะ รับช่วงไปtaisho_sanshoku_06ต่อมาในปี 1916  เมื่อฟาร์มโชเบอิ ได้พ่อแม่พันธุ์ชุดนี้ไปแล้วก็ทำการเพาะพันธุ์   ผลเหมือนเดิมมีลูกปลา 3 สีติดมาด้วย การเปลี่ยนมือยังไม่สิ้นสุดในบันทึกกล่าวไว้ว่า การเดินทางครั้งที่เป็นครั้งสำคัญ คือการที่พ่อแม่พันธุ์ชุดนี้ได้ตกไปถึงมือ นายเอซาบูโร่ โฮชิโน แห่งทาเกซาว่า ในปี 1917 แสดงว่าอยู่กับฟาร์มโชเบอิ แค่ปีเดียว นายเอซาบูโร่ ซื้อปลาชุดนี้ไปในราคา 45 เยน  และได้ผลิตลูกปลาซันเก้ที่มีรูปแบบสวยงาม ออกมามากมาย พร้อมกับพัฒนาคุณภาพสายพันธุ์ของซันเก้ให้ดีขึ้นตามลำดับ เหล่าบรรดานักเลี้ยงต่างพากันยกย่องว่า นายเอซาบูโร่ ผู้นี้แหละคือผู้ให้กำเนิดปลาซันเก้ยุคใหม่อย่างแท้จริง คงจบประวัติความเป็นมาของซันเก้ไว้เพียงเท่านี้ครับ

Japanese Koi

ปลาคาร์ฟญี่ปุ่น

นิยามนิชิกิกอย: ปลาคาร์ฟญี่ปุ่น ชื่อ “นิชิกิกอย”

เป็นคำที่ใช้ครั้งแรกเมื่อ 200 ปีที่แล้วในหมู่บ้านจากจังหวัดนิงาตะในญี่ปุ่น

Nishikigoi ตัวแรกกำเนิดขึ้นโดยเกษตรกรที่เพาะพันธุ์ปลาคาร์ฟสีดำ (หรือ Magoi) เพื่อเป็นอาหาร และเพื่อเอาชีวิตรอดในสภาพอากาศที่หนาวจัด แต่ผลที่ได้คือปลาคาร์ฟสีสันสดใส มีรูปร่างที่น่าชื่นชมโดดเด่นกว่าที่อื่น ด้วยความงามที่หายากและการรับรู้แพร่กระจายไปมากขึ้น หลายคนเริ่มชื่นชมนิชิกิกอย ราวกับงานศิลปะชั้นดี

Koi เป็นคำพ้องเสียงกับคำอื่นที่หมายถึง “ความเสน่หา” หรือ “ความรัก” ในภาษาญี่ปุ่น ปลาคาร์ฟเป็นสัญลักษณ์ของความรักและมิตรภาพในญี่ปุ่น ที่ท่ามกลางสัญลักษณ์อื่นๆ อีกมากมาย

“Koi” กำลังกลายเป็นสัญลักษณ์แห่งสันติภาพทั่วโลก

ในสมัยเฮอัน (794-1185) ปลาคาร์ฟได้รับความนิยมและเลี้ยงโดยขุนนางในญี่ปุ่น เหล่าขุนนางชอบให้อาหารปลาคาร์ฟด้วย “Fu” ซึ่งถือว่าเป็นแหล่งอาหารอันล้ำค่า ซึ่งยังคงถูกคนรับประทานอยู่ในปัจจุบัน ปลาคาร์ฟจะค่อยๆ ขึ้นมาที่ผิวน้ำเมื่อพวกเขาโปรย “Fu”, ไม่เคยตะเกียกตะกายในและแย่งกัน การแบ่งปัน “Fu” อันล้ำค่านั้น ผู้คนได้การสังเกตพฤติกรรมที่สง่างามของปลาคาร์ฟ ได้สร้างและหล่อเลี้ยงความสงบในจิตใจของพวกเขา นี่เป็นความอ่อนโยนที่สามารถถ่ายทอดจากรุ่นสู่รุ่นได้ นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา

ในปัจจุบันนี้ค่อนข้างยากที่จะหาประเทศที่ไม่มีการเลี้ยงปลาเป็นงานอดิเรก ผู้คนทั่วโลกต่างหลงใหลในคุณลักษณะ “สง่างาม” และ “เป็นมิตร” ของปลาคาร์ฟ วิธีการสังเกตและโต้ตอบกับปลาคาร์ฟ เป็นที่ชื่นชอบอย่างกว้างขวาง การเฝ้าดูพวกมันว่ายน้ำนั้นช่างสงบและผ่อนคลาย เนื่องจากปลาคาร์ฟเป็นปลาน้ำจืด ดังนั้นคุณสามารถสร้างบ่อปลาคาร์ฟที่ผ่อนคลายได้เกือบทุกที่ ทั้งในบ้านและนอกบ้าน

ความหมายของ “นิชิกิกอย”

ที่รู้จักกันในชื่อ “อัญมณีที่ว่ายน้ำ (หรือมีชีวิต)” ชื่อเฉพาะของปลาคาร์ฟนี้มาจากคำว่า “นิชิกิ” ในภาษาญี่ปุ่น ซึ่งตามเนื้อผ้าหมายถึงสิ่งที่สวยงามหรือสง่างาม

ในสมัยโบราณของญี่ปุ่น มีสมบัติอยู่ 4 อย่างคือ คิน(ทอง) จิน(เงิน) ซังโกะ(ปะการัง) และอายะ นิชิกิ(ผ้าที่คิดได้) และว่ากันว่าชื่อ “นิชิกิ-กอย” นั้นตั้งชื่อตาม “อายะ-นิชิกิ” ” นิชิกิกอย ยังเปรียบได้กับลวดลายผ้าหลากสีของผ้าไหมทอพื้นเมืองของญี่ปุ่น “ชุดกิโมโน” ซึ่งขึ้นชื่อเรื่องสีสันสดใสแต่ละเอียดอ่อนและความงามที่โดดเด่น

“Gkoi” หรือ “Koi” เป็นคำที่คนญี่ปุ่นเรียกง่ายๆ ว่าปลาคาร์ฟซึ่งหมายถึงการกิน ดังนั้นคุณอาจพูดได้ว่านิชิกิกอย แปลว่า “ปลาคาร์ฟ อัญมณีที่มีชีวิต”

เดิมทีเพาะเลี้ยงขึ้นเพื่อเป็นแหล่งอาหารที่สอดคล้องกันในญี่ปุ่น ไม่นานนัก ปลาคาร์ฟเหล่านี้ก็พัฒนาเป็นปลาสวยงามที่เลี้ยงไว้ในบ่อในสวน เพื่อเพิ่มความสวยงามหรือความเพลิดเพลิน เมื่อแนวคิดของ “เครื่องประดับที่มีชีวิต” เหล่านี้ ขยายตัว ปลาคาร์ฟ ก็เริ่มเป็นสัญลักษณ์ของความสำเร็จ ความทะเยอทะยาน ความอุตสาหะ และความก้าวหน้าในชีวิต ว่ากันว่าการเป็น นิชิกิกอย คือการเป็นปลาที่ประสบความสำเร็จในชีวิต

ดังนั้นคนญี่ปุ่นที่สร้างบ้านจะเพิ่มสระน้ำในสวนและเลี้ยง นิชิกิกอย ไว้ที่นั่น หมายความว่าเจ้าของบ้านรู้สึกเติมเต็ม ขอแนะนำให้คุณซื้อปลาคาร์ฟญี่ปุ่น เพื่อจะได้ค้นพบว่าปลาคาร์ฟ จะสามารถเพิ่มความสวยงามและความสมดุลให้กับบ้านของคุณได้อย่างไร

ประวัติความเป็นมา และต้นกำเนิดปลาคาร์ฟของญี่ปุ่น

ทุกอย่างเริ่มต้นด้วยการกลายพันธุ์ ในนิฮงโชกิ (พงศาวดารที่เก่าแก่ที่สุดในญี่ปุ่น) มีการอธิบายว่าในปีค.ศ. 720 จักรพรรดิเคอิโกะ จักรพรรดิ องค์ที่ 12 ของญี่ปุ่น นำโดย “คุกุริ โนะ มิยะ” เดินทางเพื่อชื่นชมปลาคาร์ฟ ระหว่างทางไปจังหวัดกิฟุ พร้อมกับข้าราชบริพารของเขา ว่ากันว่าปลาคาร์ฟที่จักรพรรดิเคอิโกะ ชื่นชมส่วนใหญ่เป็นปลาคาร์ฟสีดำ และปลาคาร์ฟสีแดงสองสามตัว แล้วปลาคาร์ฟสีแดงนั้นมาจากไหน? พวกมันถูกผสมพันธุ์ ขึ้นโดยการกลายพันธุ์ตามธรรมชาติแล้วค่อย ๆ เลือกและขยายพันธุ์

ต้นกำเนิดจากหมู่บ้าน Yamakoshi และเมือง Ojiya ลูกหลาน นิชิกิกอย ตัวแรกจากปลาคาร์ฟ Magoi แสดงสีแดงและสีเหลืองพร้อมกับลวดลาย

เมื่อผู้เลี้ยงสังเกตเห็นการเปลี่ยนแปลงนี้ พวกเขาก็เริ่มคัดเลือกพันธุ์ ในสภาพอากาศที่อุดมสมบูรณ์ของนีงะตะ ซึ่งช่วยเพิ่มความสวยงามและความหลากหลายของปลา หลังจากพยายามหลายครั้ง ปลาคาร์ฟญี่ปุ่นกลายเป็นที่รู้จักในโลกปัจจุบันว่าเป็น “อัญมณีแห่งการว่ายน้ำ” ที่เป็นอยู่ทุกวันนี้

นิชิกิกอย ได้รับการเลี้ยงดูทั้งในสภาพกลางแจ้งและในร่มผ่านกระบวนการที่เน้นเรื่องความเอาใจใส่ และการคัดเลือกอย่างสูง โดยมีการติดตามอย่างใกล้ชิด นิชิกิกอย เหล่านี้ได้รับการตรวจสอบเป็นประจำ เพื่อหาสีสรรที่มีรูปแบบที่สว่างใสที่สุดและรูปทรงดีที่สุด

ปลาคาร์ฟได้รับการผสมพันธุ์ครั้งแรก สำหรับการกลายพันธุ์ของสีเมื่อกว่าพันปีที่แล้วในประเทศจีน ซึ่งการผสมพันธุ์นำไปสู่การพัฒนาของปลาทอง

โลกไม่ได้ตระหนักถึงความผันแปรของสีของปลาคาร์ฟในญี่ปุ่นจนกระทั่งต้นปี 1900 เมื่อมีการจัดแสดงปลาคาร์ฟในโตเกียวประเทศญี่ปุ่น จากฝูงปลาคาร์ฟดั้งเดิมนั้น การแสดงทั้งหมดของนิชิกิกอย ได้ถูกสร้างขึ้นและพัฒนาเป็นงานอดิเรกเพื่อสังคมของเจ้าของฟาร์มจำนวนมาก ผู้นิยมงานอดิเรกหลายคนหลงใหลในชมรมปลาคาร์ฟในท้องถิ่น เพื่อแบ่งปันความรู้เกี่ยวกับปลาคาร์ฟและส่งต่อให้คนรุ่นหลัง เป็นสิ่งสำคัญของชาวญี่ปุ่นที่วัฒนธรรมยังคงเติบโตและเจริญรุ่งเรือง

ได้รับการพิสูจน์แล้วว่าคุณภาพน้ำมีความสำคัญอย่างยิ่งในการรักษาปลาที่เติบโตเหล่านี้ให้แข็งแรง นั่นคือเหตุผลที่พ่อพันธุ์แม่พันธุ์จำนวนมากในญี่ปุ่นใช้เฉพาะวัสดุคุณภาพสูงสุดสำหรับการดูแลและบำรุงรักษาบ่อ เพื่อสร้างรูปร่างที่แข็งแรงในนิชิกิกอย และสีสันสดใส พ่อพันธุ์แม่พันธุ์หลายคนยังใช้อาหารปลาคาร์ฟที่ช่วยให้ปลาคาร์ฟมีความสุขและเปล่งปลั่ง

นิชิกิกอย มีกี่สายพันธุ์?

มี นิชิกิกอย กว่า 200 สายพันธุ์ให้เลือก การจำแนกประเภทที่ได้รับความนิยมมากที่สุดคือ Gosanke ซึ่งประกอบด้วยพันธุ์ Kohaku, Taisho Sanshoku Sanke และ Showa Sanshoku ชาวนาและพ่อพันธุ์แม่พันธุ์ของ นิชิกิกอย ได้ขยายหมวดหมู่ของ นิชิกิกอยเพื่อให้บางคนแสดงเฉพาะสีและเครื่องหมายบนตัวปลาคาร์ฟเป็น “ศิลปะชาวนา” ที่บริสุทธิ์

ด้วยการแสดงออกทางศิลปะนี้ วิธีต่างๆ ในการอธิบาย นิชิกิกอย ขยายไปถึงคำพูด: กล้าหาญ แข็งแกร่ง สง่างาม มีพลัง ยิ่งใหญ่ และอีกมากมาย

ในไม่ช้าอัญมณีที่มีชีวิตเหล่านี้ก็ดึงดูดสายตามากกว่าชาวญี่ปุ่น วัฒนธรรมที่สร้างขึ้นโดยธรรมชาติและงานฝีมือของญี่ปุ่นนี้ช่วยขยายแนวคิดอันเป็นที่รักของ “นิชิกิกอย” ไปทั่วโลก ความนิยมของ นิชิกิกอย เติบโตขึ้นกว่าประเทศญี่ปุ่นที่คนรักปลาคาร์ฟทั่วโลกเป็นเจ้าภาพ เข้าร่วม และคว้าแชมป์รายการปลาคาร์ฟ

การแข่งขันชิงแชมป์เหล่านี้ และนิชิกิกอย เองก็เป็นที่ชื่นชอบมาก พวกเขาเริ่มถูกมองว่าเป็นปลาประจำชาติของญี่ปุ่น

การแสดง All Japan Koi ซึ่งเป็นการแสดง นิชิกิกอย ที่เก่าแก่และเก่าแก่ทุกปี มีบุคคลสำคัญในท้องถิ่นและต่างประเทศมาเยี่ยมชม แม้แต่ราชวงศ์ญี่ปุ่นยังมาเยี่ยม! ทุกปีจะมีการรวบรวมปลาคาร์ฟมากกว่า 4,000 ตัวจากทั่วประเทศญี่ปุ่นเท่านั้น 40 ปีที่แล้วพวกเขาใส่คำบรรยายสำหรับการแสดง Koi เป็น “Kokugyo no Saiten”, 国魚の祭典, พูดว่า “เทศกาลปลาประจำชาติ” และนี่เป็นช่วงเวลาที่พวกเขาเริ่มให้ นิชิกิกอย เป็นปลาประจำชาติของพวกเขา

ความงามของอัญมณีที่มีชีวิตนี้

เมื่อสายพันธุ์ขยายออกไปด้วยระดับคุณภาพที่แตกต่างกัน นิชิกิกอย ก็เริ่มมีความโดดเด่นด้วยสี ลวดลาย และการขยายพันธุ์ ในการแสดงปลาคาร์ฟ นิชิกิกอย ถูกตัดสินโดยคุณสมบัติที่โดดเด่นเหล่านี้ ควบคู่ไปกับ รูปทรงหรือรูปร่าง และการว่ายน้ำ

รูปร่างของร่างกาย หมายถึง รูปร่างและขนาดของ นิชิกิกอย เป็นที่รู้กันในโลกของการชื่นชมปลาคาร์ฟว่าร่างกายในอุดมคตินั้น ต้องเต็มและโค้งมนในรูปทรงคล้ายแกนหมุน คุณภาพของ นิชิกิกอย หมายถึงผิวหนังของปลาคาร์ฟ ตัวอย่างทั่วไปคือ Kohaku ควรมีผิวขาวราวหิมะและมีลวดลาย Hi ที่สดใส ในขณะเดียวกัน ลวดลายที่แสดงบน นิชิกิกอย ก็เป็นสิ่งที่ดึงดูดใจ รูปแบบไดนามิกเหล่านี้ควรมีความสมดุลและดึงเอกลักษณ์ของปลาคาร์ฟญี่ปุ่นแต่ละตัวออกมาเพื่อดึงดูดสายตาของสาธารณชน

เมื่อมองไปที่ปลา Kohaku ปลานิชิกิกอย ประเภทยอดนิยมนี้มักจะตัดสินจากลวดลาย Hi สีแดง และชิโรจิสีขาวบริสุทธิ์ ขณะดูปลาคาร์ฟ Tancho พวกเขาถูกตัดสินโดยพิจารณาจากความกลมของ Maruten หรือจุดกลมบนหัว และคุณภาพของชิโรจิสีขาว สำหรับปลาคาร์ฟ Showa Sanshoku ปลาคาร์ฟที่สง่างามเหล่านี้ได้รับการพิจารณาจากลวดลาย Hi สีแดง ปลาชิโรจิสีขาว และปลาซูมิสีดำโดยรวม

ด้วยสีสันอันเจิดจ้าและรูปร่างที่ปราดเปรียว ความงามอันประณีตของงานศิลปะที่มีชีวิตชิ้นนี้ช่วยให้ผู้คนทั่วโลกชื่นชมปลาคาร์ฟมากขึ้น ปลาคาร์ฟญี่ปุ่นจำนวนมากแสดงสีที่ประณีตซึ่งสร้างเสน่ห์เฉพาะตัว พวกเขายังมีความเงางามและสีสันที่แตกต่างกันมากมายจากพันธุ์ต่างๆ ซึ่งแต่ละสีมีความเรืองแสงและเสน่ห์ที่เป็นเอกลักษณ์ของตัวเอง

ความน่าดึงดูดใจของ นิชิกิกอย นั้นลึกซึ้งยิ่งขึ้นด้วยการว่ายน้ำที่สง่างาม โดยเฉพาะอย่างยิ่งความสง่างามที่มาจากปลาคาร์ฟที่มีรูปร่างใหญ่ นั่นคือเหตุผลที่ว่าทำไมพวกมันถึงได้ชื่อว่าเป็น “อัญมณีการว่ายน้ำ” ซึ่งอธิบายปลาคาร์ฟสีสวยงามขนาดใหญ่เหล่านี้ว่ายอย่างสง่างาม

เมื่อปลาคาร์ฟรวมกันเป็นหนึ่ง ความงดงามที่แตกต่างก็เกิดขึ้น พวกเขาต้อนฝูงปลาคาร์ฟกันครู่หนึ่งก่อนที่จะผละออกจากกันในครั้งต่อไปเพื่อชมภาพสี ความสง่างาม และความงามอันน่าทึ่ง ไม่มีตู้ปลาอื่น ๆ ทั่วโลกที่สามารถให้ความเพลิดเพลินเช่นนี้ได้

ด้วยสีสันอันสวยงาม ร่างกายที่สง่างาม และการว่ายน้ำที่สง่างาม ปลาคาร์ฟญี่ปุ่นเป็นปลาที่สง่างามไม่ว่าจะอยู่ตามลำพังหรืออยู่กันเป็นกลุ่ม

สีที่แท้จริงของนิชิกิกอย คืออะไร?

คุณสามารถเห็นสีแดง สีดำ สีฟ้า สีเหลือง และสีอื่นๆ มากมายบนปลาคาร์ฟที่แหวกว่ายอยู่ในสระน้ำ ชื่อ “นิชิกิกอย” มาจากสีเหล่านี้

เม็ดสีที่เก็บอยู่ในเซลล์ผิวจะทำให้ นิชิกิกอย มีสีต่างๆ เช่น แดง ดำ น้ำเงิน เป็นต้น เราสามารถแยกเม็ดสีเหล่านี้ออกเป็น 2 กลุ่มคือ สีแดงและสีดำ กลุ่มสีแดงเรียกว่า “แคโรทีนอยด์” และกลุ่มสีดำเรียกว่า “เมลานิน” มีสารสีแคโรทีนอยด์ประมาณ 20 ชนิดที่พบในปลา อย่างไรก็ตาม นิชิกิกอย มีเพียง 3 แบบเท่านั้น; ลูทีน ซีแซนทีน และแอสตาแซนธิน เม็ดสีเหล่านี้จะถูกเก็บไว้ในผิวของปลาคาร์ฟเพื่อให้ดูเป็นสีแดง เม็ดสีแดงเหล่านี้ไม่ได้ผลิตโดยปลาคาร์ฟ นิชิกิกอย ดูดซับเม็ดสีเหล่านี้จากอาหารของพวกมันและเก็บไว้ในเซลล์เม็ดสี

อาหาร ปลาคาร์ฟที่ขายในร้านค้าเป็นอาหารเสริมสี (อาหารแต่งสี) เพื่อดึงเม็ดสีออกมา มีอาหารบางชนิดที่ไม่มีส่วนผสมของสารปรุงแต่งสี อาหารเหล่านี้จะไม่ทำให้สีของปลาคาร์ฟของคุณดีขึ้น คุณควรตรวจสอบเพื่อดูเนื้อหาของอาหารปลาคาร์ฟก่อนให้อาหารปลาคาร์ฟ

เม็ดสีที่เรียกว่า “เมลานิน” ถูกผลิตขึ้นในปลาคาร์ฟสีดำ เป็นสีป้องกันปลาคาร์ฟ ดังนั้นสีจะเปลี่ยนไปตามถิ่นที่อยู่ หากอยู่ในที่มืด สีจะเป็นสีดำสนิท หากอยู่ในที่สว่างกว่า สีจะกลายเป็นสีเทา นิชิกิกอย เปลี่ยนสีทันทีขึ้นอยู่กับสถานการณ์ อย่างไรก็ตาม คำอธิบายนี้ใช้ได้กับ “Magoi” ที่อาศัยอยู่ในแม่น้ำธรรมชาติและบ่อโคลนเท่านั้น แต่สีดำบน นิชิกิกอย จะไม่เปลี่ยนเพราะเป็นพันธุ์ที่ปรับปรุงแล้ว

Asagi

ปลาคาร์ฟสายพันธุ์ Asagi

เป็นปลาคาร์ฟสายพันธุ์เก่าแก่ที่สุดชนิดหนึ่ง ถูกนำมาใช้เป็นสายพันธุ์พื้นฐานในการพัฒนาปลาคาร์ฟสายพันธุ์ใหม่ๆอีกมากมาย บนแผ่นหลังของปลาคาร์ฟสายพันธุ์ Asaki ถูกปกคลุมด้วยลวดลายของเกล็ดที่มีลักษณะเหมือนตาข่ายสีคราม, สีน้ำเงินเข้ม หรือสีฟ้าอ่อน หัวของปลาคาร์ฟสายพันธุ์ Asaki จะมีสีฟ้าอ่อนๆ และต้องสะอาด ไม่มีตำหนิเปรอะเปื้อน ฐานหรือโคนของ ครีบอก ครีบหาง บริเวณท้อง และฝาประกบเหงือก ของปลาคาร์ฟสายพันธุ์ Asaki มักจะมีสีส้มเข้มถึงแดง

ปลาคาร์ฟสายพันธุ์ อาซากิ(Asagi) มีจุดสังเกตง่ายๆ 3 ข้อ คือ

  • ไม่มีแพทเทิร์นลวดลายสีแดง (เหมือนปลาคาร์ฟสายพันธุ์โคฮากุและซังเก้)
  • มีลำตัวตัวสีออกฟ้าหรือคราม
  • สีแดงที่โคนครีบว่าย สีแดงที่บริเวณโคนครีบว่าย เรียกว่า Motoaka (โมโตอากะ,โมโตอะกา)

โมโตอากะ เป็นส่วนสำคัญในการพิจารณาความสวยงามของ ปลาคาร์ฟสายพันธุ์ อาซากิและซูซุย (Shusui) ซึ่งปลาคาร์ฟทั้งสองสายพันธุ์นี้มีเชื้อสายเดียวกัน เมื่อตอนปลามีอายุน้อย ส่วนมากครีบทั้งหมดจะเป็นสีแดง แต่เมื่อมันโตขึ้น ครีบว่ายจะเริ่มมีสีขาวจากปลายครีบทีละเล็กทีละน้อย สีแดงจะหดตัวเข้าไปประมาณครึ่งหนึ่ง หรือ หนึ่งในสามส่วนของครีบว่าย  โมโตอากะที่ครอบคลุมพื้นที่ 1 ใน 3 ส่วนหรือ 30% ของครีบว่าย เป็น อุดมคติที่สวยงาม และดูกลมกลืนสมส่วน มากที่สุดAsagi_007แม้ว่า สีแดงบนครีบจะเป็นส่วนสำคัญส่วนหนึ่งที่ทำให้ปลาคาร์ฟสายพันธุ์อาซากิดูสวยงาม แต่มันก็ไม่จำเป็นเสมอไป ปลาคาร์ฟสายพันธุ์อาซากิบางตัว มีลวดลายตาข่ายที่สวยงาม โดดเด่นมาก จนทำให้เราสามารถมองข้ามสีแดงบนครีบไปได้เลย เน้นคุณภาพโดยรวมมากกว่า ซึ่งลวดลายตาข่ายเป็นส่วนสำคัญที่สุดAsagi_002ถ้าเราไม่คำนึงถึงรูปร่างที่สวยงามของปลาคาร์ฟสายพันธุ์อาซากิ ว่ากันด้วยเรื่องแพทเทิร์นอย่างเดียว เรื่องแรกในการพิจารณา ก็คือ บริเวณส่วนหัวต้องเกลี้ยงเกลา ขาวสะอาด ปลาคาร์ฟสายพันธุ์อาซากิหลายๆตัว มักมีจุดสีดำเล็กๆ เรียกว่า Jyami (จาหมิ) บนหัว หรือผิวบริเวณหัวสีเหลือง ซึ่งถือว่าเป็นตำหนิเช่นกัน ผิวบริเวณหัวที่ขาว ใส เกลี้ยงเกลาดัง เป็นกุญแจสำคัญอย่างหนึ่ง ที่ช่วยขับความสวยงามของตาข่ายสีฟ้าบนตัวปลาให้โดดเด่นยิ่งขึ้นเมื่อพิจารณาปลาคาร์ฟสายพันธุ์อาซากิ เกล็ดที่เป็นรูปลายตาข่ายบริเวณไหล่ของปลา เรียงอย่างสวยงามไปจนถึงส่วนหาง และเรียงตามส่วนโค้งของบริเวณลำตัวปลา การพิจารณาความสวยงาม จะต้องไม่มีเกล็ดใดๆหายไปแม้แต่เกล็ดเดียวหรือจะต้องไม่มีสีที่ไม่สม่ำเสมอ และจะต้องไม่มีสีแดง หรือเกล็ดกินรินในลวดลายตาข่าย ปลาคาร์ฟสายพันธุ์อาซากิที่ดี จะต้องมีเกล็ดที่เรียงอย่างสวยงามสม่ำเสมอ 5-6 แถวนับจากครีบกระโดงหลังไล่ลงมาจนถึงเส้นข้างลำตัว ที่กล่าวมาทั้งหมด เป็นมาตรฐานการพิจารณาตัดสินความสวยงาม ของปลาคาร์ฟสายพันธุ์อาซากิ

แม้ว่า ปลาคาร์ฟสายพันธุ์อาซากิที่อายุยังน้อย จะยังไม่พัฒนาลวดลายตาข่ายที่สมบูรณ์นัก แต่การเลือกปลา จะต้องพิจารณาให้ดี เพราะ ลวดลายตาข่ายที่เรียงสวยงามจะเป็นส่วนสำคัญอย่างมากเมื่อปลาเหล่านี้โตขึ้นจนมีขนาด 70-80 เซ็นติเมตร Asagi_001ปลาคาร์ฟสายพันธุ์อาซากิ เป็นปลาคาร์ฟที่ไม่มีลวดลายเหมือนสายพันธุ์หลักๆอื่นๆ ด้วยเป็นเพราะว่า ปลาคาร์ฟสายพันธุ์อาซากิ ไม่มีลวดลายแพทเทิร์นสีแดง จะมีคนหลายๆคนคิดเหมือนกันว่า มันเป็นปลาที่ไม่สวยเหมือนกับ ปลาคาร์ฟสายพันธุ์โคฮากุ หรือไทโช ซังเก้ จึงทำให้ปลาคาร์ฟสายพันธุ์อาซากิ ได้รับความนิยมน้อยกว่าสายพันธุ์อื่นๆที่มีแพทเทิร์นสีแดง อย่างไรก็ตาม ถ้าได้ลองเลี้ยงปลาคาร์ฟสายพันธุ์อาซากิ ที่มีลักษณะสง่างาม สะดุดตา มักจะติดใจในเสน่ห์ของปลาสายพันธุ์นี้อย่างแน่นอน

ถ้าเราจะเลือกพิจารณาความสวยงามของปลาคาร์ฟสายพันธุ์อาซากิเป็นส่วนๆ ควรจะมีข้อสังเกตดังนี้

  • มีแดงในส่วนของหาง ควรมีขนาดประมาณครึ่งหนึ่งของครีบหางทั้งหมด
  • ควรมีสีแดงในครีบหลัง จึงจะเป็นจุดดึงดูดสายตา และเพิ่มความสวยงามให้กับปลาอาซากิตัวนั้นๆ
  • ควรมีเกล็ดสีครามที่สมบูรณ์ เรียงอย่างสมมาตรได้สัดส่วน ไปตามแนวโค้งของลำตัวตั้งแต่บริเวณไหล่ไปจนถึงหาง และจะดีมากๆถ้ามีเกล็ดสีครามที่สมบูรณ์เรียงต่อกัน 5 – 6 แถวนับตั้งแต่ครีบหลังไปจนถึงท้องปลา
  • จุดสีแดงที่เกิดขึ้นบนเกล็ดหลังและลำตัว ถือเป็นตำหนิ
  • เกล็ดลวดลายตาข่ายที่คมชัดและดูหนาของปลา ถือว่าสวยงามมากและเป็นที่ต้องการอย่างมาก
  • การที่ปลาคาร์ฟสายพันธุ์อาซากิ เกล็ดหลุด แม้เวลาจะผ่านไปเป็นปี ก็จะมีตำหนิให้เห็น ดังจุดนี้ ส่วนนี้ถือเป็นข้อบกพร่องหรือตำหนิ แม้ว่าเกล็ดใหม่จะขึ้นมาอย่างสมบูรณ์แล้ว แต่ลวดลายตาข่ายในเกล็ดใหม่จะดูจางกว่าเกล็ดอื่นๆ ความไม่สม่ำเสมอของสีหรือลวดลายตาข่ายในเกล็ดถือเป็นตำหนิข้อใหญ่ในการพิจารณาความสวยงามของปลาคาร์ฟสายพันธุ์อาซากิ
  • เมื่อปลามีขนาดใหญ่ขึ้น ประมาณ 70 เซ็นติเมตร ลวดลายตาข่ายในส่วนที่วงกลม จะดูหนาขึ้นและใหญ่ขึ้น
  • โมโตอะกา หรือส่วนของสีแดงบนครีบว่าย เป็นส่วนสำคัญอีกส่วนในการพิจารณาความสวยงามดังที่กล่าวไปแล้วข้างต้น
  • ส่วนสำคัญอีกส่วนที่ทำให้ปลาตัวนี้ดูสวยงาม คือ การมีหัวที่ขาวสะอาด
  • ในส่วนของตา อาจจะมีสีแดงได้ (ปลาคาร์ฟสายพันธุ์อาซากิสายพันธุ์เดียวเท่านั้นที่ได้รับการอนุโลมในข้อนี้)
  • จุดสีแดงที่ขึ้นมาในส่วนหัว ถือเป็นตำหนิAsagi_009ทราบหรือไม่ว่า ปลาคาร์ฟสายพันธุ์ อาซากิ เป็นต้นกำเนิดของ ปลาคาร์ฟสายพันธุ์ โคฮากุ โดยปลาตัวหนึ่งเกิดขึ้นมาจากการเพาะพันธุ์ ปลาคาร์ฟสายพันธุ์อาซากิ ในขณะนั้น ผู้เพาะพันธุ์มองเห็นเป็นปลาสีขาว มีครีบว่ายสีแดงและมีสีแดงบริเวณช่วงท้อง เมื่อนำปลาสีขาวมาเพาะพันธุ์ต่อ หลายต่อหลายครั้ง ก็เกิดได้ลูกปลาเป็นปลาคาร์ฟสายพันธุ์ โคฮากุ ขึ้นมา

Kanoko Asagi (คาโนโกะ อาซากิ)

เป็นปลาคาร์ฟสายพันธุ์ อาซากิ ที่ไม่ธรรมดาด้วยการที่มันมีเกล็ดสีแดงสีแดงในเกล็ดจะไม่มีให้เห็นตั้งแต่ปลายังมีขนาดเล็ก สีแดงจะเริ่มมีให้เห็นอย่างต่อเนื่อง ขึ้นมาเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เมื่อปลามีขนาด 50 – 60 เซ็นติเมตรถ้าสีแดงขยายจนครอบคลุมทุกเกล็ด มันจะเป็นปลาที่สวยงามมากๆสิ่งที่น่าสนใจอย่างหนึ่งของปลาคาร์ฟ คือ การที่มันโตขึ้นและเปลี่ยนแปลงความสวยงามได้เรื่อยๆAsagi_008ปลาบางตัวเป็นปลาที่หายากมาก เนื่องมาจากการเพาะพันธุ์ปลา จะได้ลูกปลาถึงครั้งละ 300,000 – 400,000 ตัว การที่จะมีปลาที่แปลกประหลาดจากพี่น้องและมีความสวยงามอย่างน่าอัศจรรย์ด้วย จึงเป็นเรื่องยากมาก ต้องโชคดีจริงๆถึงจะได้ปลาที่สวยงามและมีเอกลักษณ์ดีๆ สักตัวหนึ่งจากปลาหลายๆแสนตัว

แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นการที่มันมีเกล็ดสีแดง ก็เป็นเพียงลักษณะที่กำหนดว่าควรมี แต่ไม่ใช่ลักษณะที่จำเป็น หรือเป็นที่ต้องการอย่างแท้จริง ของปลาคาร์ฟสายพันธุ์ อาซากิทุกตัว แม้ว่าปลาจะไม่มีส่วนของครีบว่ายเป็นสีแดง แต่เกล็ดที่เรียงตัวอย่างสวยงาม สมบูรณ์ และสีของลวดลายตาข่ายหนาชัดเจน ก็เพียงพอแล้วที่จะให้คะแนนความสวยงามในระดับสูง การมีปลาลักษณะแบบนี้ในครอบครองจึงเป็นเรื่องที่ทำให้รู้สึกสนุกตื่นเต้น ที่จะได้ลุ้นถึงความเป็นไปได้ว่ามันจะสวยขึ้นขนาดไหน เมื่อมันโตขึ้น

เมื่อเราลองพิจารณาการเรียงตัวที่สวยงาม สมบูรณ์ของเกล็ดตั้งแต่ไหล่จนถึงหาง ตั้งแต่ครีบหลังจนถึงช่วงท้อง สีครามของลวดลายตาข่ายในแต่ละเกล็ดก็สมบูรณ์เท่ากันเกือบทุกเกล็ด ทำให้เราทราบว่า เป็นปลาคาร์ฟสายพันธุ์ อาซากิ ที่สวยสมบูรณ์มากๆ และโอกาสคว้าแชมป์จากงานประกวดปลาคาร์ฟอีกด้วย แม้จะไม่มี โมโตอะกา ที่สมบูรณ์ก็ตาม

ในการพิจารณาความสวยงามของปลาคาร์ฟสายพันธุ์ อาซากิ นี้ เกล็ดที่หลุดไปเพียงเกล็ดเดียว อาจจะเป็นข้อบกพร่องข้อใหญ่มาก ดังนั้น เราควรระมัดระวังในการเลี้ยง รวมถึงการเคลื่อนย้ายให้ดี

Ginrin Asagi (อาซากิ กินริน)

เมืองโอจิยะ (Ojiya) เป็นเมืองต้นกำเนิดของปลาคาร์ฟสายพันธุ์ใหม่ๆอยู่เรื่อยๆ เนื่องจากผู้เพาะพันธุ์ปลาคาร์ฟหลายๆคนในเมืองนี้ มีความตั้งใจที่จะเพาะพันธุ์ปลาคาร์ฟสายพันธุ์ใหม่ๆอยู่ตลอดเวลา แม้จะเป็นงานที่ยากมากๆก็ตาม

คุณ Tadashi Iwashita เป็นผู้เพาะพันธุ์รายแรกที่สามารถเพาะพันธุ์ปลาคาร์ฟสายพันธุ์ อาซากิ กินริน ได้เป็นผลสำเร็จ ก็เป็นหนึ่งในผู้เพาะพันธุ์ในเมืองโอจิยะแห่งนี้ โดยเขาสามารถเพาะพันธุ์ Ki Ochiba (คิ โอจิบะ) ปลาคาร์ฟสายพันธุ์ โอจิบะชิกุเระ ที่มีลวดลายสีเหลือง ได้อีกด้วย แต่อาซากิ กินริน คือ สายพันธุ์ที่เขาชื่นชอบในผลงานมากที่สุด เราได้เห็น ปลาคาร์ฟสายพันธุ์ อาซากิ กินริน มาสักระยะหนึ่งแล้ว โดยคุณ Iwashita เป็นผู้เพาะพันธุ์คนแรกที่ประสบความสำเร็จในการเพาะพันธุ์ให้ เกล็ดกินริน ขึ้นเรียงสวยงามสม่ำเสมอ ครอบคลุมทั่วทั้งตัวปลา ประวัติศาสตร์ได้บันทึกไว้ว่า ปลาคาร์ฟสายพันธุ์ อาซากิ กินริน ได้ถูกตั้งขึ้น โดยคุณ Iwashita ในปี ค.ศ. 1999 ปัญหาเพียงข้อเดียว ที่ Iwashita Ginrin Asagi ไม่เป็นที่แพร่หลายในวงการปลานัก เพราะเป็นเรื่องยากที่จะได้เป็นเจ้าของ เนื่องมาจาก คุณ Iwashita เป็นผู้เพาะพันธุ์ที่ภูมิใจในปลาของเขามาก เขาจะคัดปลาเก็บไว้เพียง 1,000 – 1,500 ตัวเท่านั้น จากปลานับแสนๆตัวที่เพาะพันธ์ขึ้นมา

 

Koi Varieties

สายพันธุ์ปลาคาร์ฟ

Asagi

Asagi_008

อาซากิ มีลักษณะเด่นคือ 1) ลำตัวสีน้ำเงินหรือสีคราม และ 2) สีแดงที่โคนครีบอก สีแดงที่โคนครีบอกเรียกว่า “Motoaka”


Bekko

bekko_01

เบคโกะ มีเฉพาะสีขาวดำลายที่เรียบง่าย ไม่มี Hi (สีแดง) บนตัว แม้ว่าจะมาจากสายพันธุ์ Taisho Sanshoku


Doitsu

doitsu_koi

ดอยซ์ เป็นปลาคาร์ฟเยอรมันที่ไม่มีเกล็ด ขึ้นอยู่กับชนิดของปลาคาร์ฟ อาจมีเกล็ดตามแนวด้านข้างและด้านหลังของลำตัว หรือไม่มีเกล็ดเลยก็ได้


Ginrin

kinginrin_01

กินริน หมายถึง ปลาคาร์ฟที่มีเกล็ดเพชรอยู่เต็มตัว เกล็ดเหล่านี้แตกต่างจากปลาคาร์ฟแบบแพลตตินั่ม เนื่องจากเกล็ดจะสะท้อนและส่องประกายแสง ในลักษณะที่อัศจรรย์


Goshiki

goshiki_01

โงชิกิ กำเนิดขึ้นในปี 1918 โดยการผสมระหว่างพันธุ์สายพัธุ์ Asagi กับ Kohaku และแสดงให้เห็นสีรุ้งอย่างชัดเจน สีดำ สีน้ำเงิน และสีเทา จะปรากฏในรูปแบบตาข่ายบนเกล็ด


Kawarimono

BestKawarimono

คาวาริโมโนะ เป็นปลาคาร์ฟ ที่ไม่เหมือนกับปลาประเภทอื่นๆ นี่คือปลาคาร์ฟ ที่หลากหลาย และมีความพิเศษไม่เหมือนใคร


Kohaku

kohaku_01

โคฮาคุ ว่ากันว่าการเลี้ยงปลาคาร์ฟ เริ่มต้นและจบลงด้วยโคฮาคุ ในทุกสายพันธุ์ที่มีลวดลายสีแดง จะเปรียบเทียบและอ้างอิงรูปแบบของ โคฮาคุ


Koromo

koromo_02

โคโรโมะ เป็นปลาคาร์ฟที่ยอดเยี่ยม และโดดเด่น โคโรโมะ หมายถึงเสื้อผ้าหรือเสื้อคลุมในภาษาญี่ปุ่น มีลวดลาย Hi (สีแดง) ของ Kohaku บนผิวสีขาวบริสุทธิ์ และมีลวดลายสีฟ้าคราม


Ogon

Hikarimuji_gold

โอกอน แปลว่า ทองคำ อยู่ในกลุ่ม “ฮิคาริ มูจิ” โอกอนคือปลาคาร์ฟสีเมทัลลิกที่มีตั้งแต่สีเงินไปจนถึงสีทอง และเปล่งประกายอย่างสวยงามในน้ำ


Platinum

Hikarimuji_silver

แพลตตินั่ม อยู่ในกลุ่ม “ฮิคาริ มูจิ” สามารถเติบโตเป็นจัมโบ้ โดยจะมีค่ามากที่สุด เมื่อมีเงาโลหะที่สวยงาม และไม่มีรอยตำหนิหรือรอยแผลใดๆ พวกมันจะส่องประกายอย่างสวยงามในน้ำที่มืด ด้วยลำตัวที่แทบจะสะท้อนแสง


Showa Sanshoku

showa_01

โชวา ซันโชกุ เป็นปลาคราฟที่สวยงาม โดยมีสีขาว แดง และดำทาทั่วร่างกาย โชวา ซันโชคุ เป็นหนึ่งในปลาคาร์ฟ Gosanke หรือ “บิ๊ก 3” ร่วมกับ ไทโช ซันโชคุ และ โคฮาคุ ก่อนปี 1975 โชวา ซันโชคุ มีตัวแทนจากเชื้อสายของโคบายาชิโชวะ


Shusui

susui_02

ซูซุย เป็นปลาคาร์ฟ Doitsu ชนิดแรก และเป็นหนึ่งในสองปลาคาร์ฟสีน้ำเงินเพียงชนิดเดียว! พวกมันเป็น อาซากิ เวอร์ชัน Doitsu (ไม่มีสเกล) ซูซุย ได้รับการเพาะพันธุ์ ครั้งแรกในช่วงต้นทศวรรษ 1900 โดย Yoshigoro Akiyama ผสม Doitsugio ปลาเกล็ดเยอรมันและ อาซากิ


Taisho Sanshoku

taisho_sanshoku_01

ไทโช ซันโชคุ ได้รับการพัฒนาจาก โคฮาคุ เมื่อประมาณ 80 ปีที่แล้วในปี 1918 ในยุคของ “ไทโช” ไทโช ซันโชคุ หรือที่เรียกว่า ไทโช ซันเก้ ลวดลายประกอบด้วยสามสี สีขาว สีแดง (Hi) และสีดำ (Sumi)


Tancho

tancho_01

ตันโจ เป็นที่รักด้วยเหตุผลหลายประการ รวมถึงความคล้ายคลึงกับธงชาติญี่ปุ่นและความสามารถในการโดดเด่นในสระน้ำ ได้รับการตั้งชื่อตามนกกระเรียนมงกุฎแดงศักดิ์สิทธิ์ของญี่ปุ่นเพื่อความโชคดี ความรัก และอายุยืนยาว


Utsurimono

utsurimono_01

อุสึริโมโนะ ฐานของร่างกาย คือ ซูมิ (สีดำ) และ อุสึริ หมายถึง “การสะท้อน” อุสึริโมโนะที่สวยงามมีสามสายพันธุ์ ได้แก่ Hi (สีแดง) Shiro (สีขาว) หรือ Ki (สีเหลือง)