Benefits of Salt

ประโยชน์ของเกลือในบ่อปลาคาร์ฟ และเคล็ดลับการใช้เกลืออย่างปลอดภัย

บางท่านอาจเคยมีประสบการณ์ และสงสัยว่า “เกลือดีสำหรับบ่อปลาคาร์ฟจริงหรือ?” หรือ “ ใช้เกลือแกง ในบ่อปลาคาร์ฟได้ไหม” ข้อมูลในบทความนี้เพื่อช่วยให้ผู้ที่ชื่นชอบปลาคาร์ฟมีบ่อเลี้ยงปลาคาร์ฟที่ดีต่อสุขภาพปลาที่สุด และวิธีการใช้เกลืออย่างเหมาะสม

เกลือในบ่อปลาคาร์ฟ

  • เกลือดีสำหรับบ่อปลาคาร์ฟหรือไม่?
  • ทำไมเราใช้เกลือ?
  • ใช้เกลือเพื่อปลาคาร์ฟอย่างไร?
  • เกลือชนิดใดสำหรับบ่อปลาคาร์ฟ?
  • ใช้เกลือในบ่อปลาคาร์ฟมากแค่ไหน?
  • จะตรวจสอบระดับเกลือในบ่อปลาคาร์ฟได้อย่างไร?
  • การเติมเกลือจะฆ่าพืชในบ่อหรือไม่?
  • จะวัดปริมาตรบ่อโดยใช้เกลือได้อย่างไร

 

เกลือดีสำหรับบ่อปลาคาร์ฟหรือไม่?

ใช่…มันมีประโยชน์มากมายสำหรับการสร้างการป้องกันแบคทีเรียและปรสิต

เมื่อใช้อย่างถูกต้อง จะรักษาปลาคาร์ฟที่มีอาการเครียด หรืออาการป่วยในบ่อได้อย่างมีประสิทธิภาพ หากต้องการใช้เกลือในบ่อ ให้อ่านบทความนี้อย่างละเอียดถี่ถ้วนและให้แน่ใจว่า เข้าใจวิธีการใช้เกลือนี้ก่อนที่จะเติมลงในบ่อของ  เพราะเกลือมากเกินไปเป็นพิษและสามารถฆ่าปลาคาร์ฟได้ ดังนั้นควรระมัดระวังว่า “มันดีสำหรับปลาคาร์ฟ” เกลือนั้นดีต่อการป้องกันแบคทีเรีย แต่แท้จริงแล้วมันเป็นอันตรายหากใช้มากเกินไป

เหตุใดเราจึงใช้เกลือที่ไม่เสริมไอโอดีน โซเดียมคลอไรด์ (NaCl)

เกลือจะช่วยรักษาปรสิต ต่อสู้กับความเป็นพิษของไนไตรต์ และปรับปรุงการผลิตขนเมือก ด้วยสารละลายราคาไม่แพงที่จะเข้ากับตัวกรองชีวภาพของบ่อ

มีเหตุผลหลัก 2 ประการที่เราใช้เกลือสำหรับปลาคาร์ฟ ทั้งสองเป็นเรื่องเกี่ยวกับการรักษาปลาที่มีสุขภาพดี:

  1. ใช้เกลือดูแลพยาธิ และ/หรือ แบคทีเรียบนตัวปลาคาร์ฟ ปลาคาร์ฟอาศัยอยู่ในน้ำจืด ปรสิตและแบคทีเรียก็เช่นกัน การบำบัดด้วยเกลือในบ่อปลาคาร์ฟ ช่วยกำจัดปรสิตและแบคทีเรียน้ำจืด แต่ปัจจุบันรู้สึกว่าปรสิตเริ่มดื้อยามากขึ้น และเกลือนั้นแทบจะไม่สามารถฆ่าปรสิตได้ แต่ก็ยังใช้ได้ดีสำหรับบางอย่าง เช่น แบคทีเรีย
  2. ใช้เกลือเพื่อส่งเสริมการหายจากอาการป่วย โดยสร้างสมดุลระหว่างการดูดซึมของปลาคาร์ฟ ปลาคาร์ฟเป็นปลาน้ำจืด แต่เนื่องจากระดับเกลือของ ของเหลวในร่างกายสูงกว่าน้ำที่อยู่รอบข้างมาก น้ำจึงไหลเข้าสู่ร่างกาย ร่างกายไม่แตกเพราะสามารถปล่อยน้ำออกมาเป็นปัสสาวะ และรักษาสมดุลได้ แต่เมื่อปลาคาร์ฟป่วยหรือเครียด จะส่งผลต่อการทำงานของร่างกายในการปรับสมดุลแรงดันออสโมติก เพื่อช่วยแก้ปัญหานี้ เราสามารถเติมเกลือเพื่อเพิ่มระดับเกลือของบ่อปลาคาร์ฟให้ใกล้เคียงกับของเหลวในร่างกายของปลาคาร์ฟ วิธีนี้น้ำจะไม่เข้าสู่ร่างกายมากนัก

ข้อดีคือ ร่างกายของปลาคาร์ฟไม่ต้องทำงานหนัก ช่วยให้ปลาคาร์ฟฟื้นตัวเร็วขึ้น

ข้อดีพิเศษของเกลือคือ ไม่ใช่ยา ดังนั้นเราจึงไม่ต้องกังวลกับผลข้างเคียงใดๆ

 

ใช้เกลือเพื่อสุขภาพปลาคาร์ฟ อย่างไร?

เมื่อทราบแล้วว่าเหตุใดจึงใช้เกลือ คำถามต่อไปคือ “ ควรใส่เกลือลงในบ่อปลาคาร์ฟหรือไม่”

มี 2 ​​สถานการณ์เมื่อเราใช้เกลือ:

  • เมื่อปลาคาร์ฟว่ายน้ำอย่างเชื่องช้าหรือป่วยอย่างเห็นได้ชัด
  • เมื่อซื้อปลาคาร์ฟใหม่ ก่อนนำลงบ่อเลี้ยง

ในทั้งสองสถานการณ์ ขอแนะนำอย่างยิ่งให้บำบัดปลาคาร์ฟในบ่อกักด้วยเกลือ

ก่อนที่จะเติมเกลือ อย่าลืมเอาพืชออก ทำความสะอาดบ่อ และเปลี่ยนน้ำ 50% และเชื่อว่าควรใช้เกลือเมื่อจำเป็นเท่านั้น ใช้เกลือในบ่อกักหรือบ่อชั่วคราวเพื่อเพิ่มความต้านทานตามธรรมชาติของปลาต่อโรค

 อาจลองปล่อยให้เกลือละลายในถังน้ำในบ่อก่อนเติมลงในบ่อโดยตรง เพื่อไม่ให้เกลือไหม้ในบริเวณที่มีความเข้มข้นมากเกินไปหรือยังไม่ละลาย

ทิ้งไว้ในน้ำและค่อยๆ เติมลงไป อาจใช้เวลา 14-21 วันในการกำจัดปรสิตออกให้หมด ซึ่งแตกต่างกันไปตามอุณหภูมิที่ต่างกัน ใส่เกลือทั้งหมดในคราวเดียวหากปลาคาร์ฟกำลังจะตายอย่างรวดเร็ว

ขจัดเกลือด้วยการเปลี่ยนน้ำบางส่วน อย่าเทน้ำส่วนเกินลงบนต้นไม้เพราะอาจทำให้เสียหายได้

 

เกลือชนิดใดที่ใช้กับบ่อปลาคาร์ฟ?

ใช้เกลือบริสุทธิ์ที่ไม่เสริมไอโอดีน อย่าใช้เกลือกับฟอร์มาลิน เกลือและฟอร์มาลินเข้ากันไม่ได้ หากใช้เกลือและฟอร์มาลินร่วมกัน มันสามารถฆ่าปลาคาร์ฟได้ สำหรับเกลือชนิดใดที่จะใช้ในบ่อปลาคาร์ฟ ให้หลีกเลี่ยงเกลือแกงและเกลือเสริมไอโอดีน

เกลือเป็นพิษต่อปลาคาร์ฟหากใช้ในปริมาณมากเป็นระยะเวลานาน หากใช้มากเกินไปจะทำให้ไตหยุดทำงาน

 

บ่อปลาคาร์ฟใช้เกลือเท่าไหร่?

ปริมาณแตกต่างกันไปจากระดับเกลือ 0.3%–0.6% สำหรับการรักษาความเจ็บป่วย

มิฉะนั้น สำหรับการใช้อย่างสม่ำเสมอ เกลือ 1 กก. (2.2 ปอนด์) ต่อน้ำทุกๆ 1,000 ลิตร (265 แกลลอน) ซึ่งจะทำให้ได้สารละลายน้ำเกลือประมาณ 0.1%

แนะนำให้เริ่มต้นด้วย 0.3% แล้วค่อยๆ เพิ่มเป็น 0.5% ตามต้องการ

แต่ 0.6% แนะนำเฉพาะเมื่อ ปลาคาร์ฟ ดูเหมือนจะเครียดหรือป่วยมาก

กระจายการบำบัดด้วยเกลือตลอดสองสามวันและติดตามระดับความเค็มต่อไป  ไม่ต้องการใช้เกลือมากเกินไปเพื่อความปลอดภัยของปลาคาร์ฟ หากมากเกินไปอาจถึงตายได้!

จำไว้ว่าเกลือไม่ระเหย และเมื่อเปลี่ยนน้ำ ให้เติมเกลือตามปริมาณน้ำที่เปลี่ยน ไม่ใช่ปริมาณรวมของบ่อ

ตัวเลือกการอาบน้ำเกลือด่วนสำหรับ ปลาคาร์ฟ Rescue

(ระวัง!) – มีอีกวิธีหนึ่งในการใช้เกลือ เป็นการแช่เกลืออย่างรวดเร็ว ละลายเกลือให้มากที่สุดในกระบะน้ำ จากนั้นให้ ย้ายปลาคาร์ฟไปที่กระบะและทิ้งไว้ในน้ำเกลือที่มีความเข้มข้นสูงเป็นเวลาสั้นๆ

นี่เป็นหลักในการฆ่าเชื้อปรสิตหรือแบคทีเรียบนผิวปลา ปลาคาร์ฟจะเริ่มลอยตัวและ จะเห็นชั้นสีขาวพัฒนาบนร่างกาย จากนั้น ช่วยปลาคาร์ฟจากกระบะและปล่อยไปที่บ่อกัก  อย่างไรก็ตาม มันอาจฆ่าปลาคาร์ฟได้หากทำไม่ถูกต้อง ดังนั้นแนะนำวิธีนี้เฉพาะเมื่อ อยู่กับมืออาชีพเท่านั้น

 

จะตรวจสอบระดับเกลือในบ่อปลาคาร์ฟของ ได้อย่างไร?

ใช้เครื่องวัดเกลือแบบดิจิตอล โปรดอย่าเดาระดับเกลือในบ่อของ   เคยประสบอุบัติเหตุครั้งหนึ่งที่ฟาร์ม

พนักงานที่มีประสบการณ์คนหนึ่งได้เติมเกลือลงในถังหนึ่งในปริมาณปกติ แต่หลังจากนั้นไม่นานปลาคาร์ฟก็เริ่มตาย ตอนแรกก็ไม่รู้ว่าทำไม แต่มารู้ทีหลังว่ามีเกลือเหลืออยู่ในถังจากการใช้งานครั้งก่อน ซึ่งพนักงานไม่ได้ตรวจสอบความเค็ม พนักงานเพียงสันนิษฐานว่าปริมาณเกลือทั้งหมดหายไปแล้ว จึงได้เติมเกลือปริมาณหนึ่งตามปกติ การเติมนั้นเพิ่มความเค็มให้สูงกว่าที่ปลาคาร์ฟรับได้มาก จึงทำให้พวกปลาคาร์ฟตาย

ดังนั้นโปรดตรวจสอบระดับเกลือของ ทุกครั้งก่อนที่จะเติมเกลือลงในบ่อ

จำไว้ว่าเกลือเป็นพิษต่อปลาคาร์ฟของ  และ ไม่ควรใส่มากกว่าที่แนะนำ มิฉะนั้น  อาจเสี่ยงที่จะสูญเสียปลาคาร์ฟได้

 

การเติมเกลือจะฆ่าพืชในบ่อหรือไม่?

หาก มีพืชน้ำ  คงสงสัยอย่างแน่นอนว่า “เกลือจะฆ่าพืชในสระของ หรือไม่” คำตอบคือ พืชในบ่อจำนวนมากไม่สามารถรับเกลือได้มากเท่ากับปลาคาร์ฟของ  ดังนั้น หากไม่แน่ใจว่าพืชสามารถเอาเกลือได้หรือไม่ ให้เอาต้นในบ่อปลาออกก่อนที่จะเติมเกลือลงในบ่อปลาคาร์ฟ ด้วยเหตุผลนี้  จึงมักจะแนะนำให้ หลีกเลี่ยงการปลูกพืชน้ำในบ่อปลาคาร์ฟ

เมื่อระดับความเค็มเพิ่มขึ้น พืชในบ่อเหล่านี้จะทนต่อเกลือได้น้อยลงและไวต่อเกลือ:

  • อนาจารี
  • ผักตบชวา
  • ลาเวนเดอร์มัสค์
  • ดอกบัว
  • หัวใจลอย

แม้จะมีความสามารถในการกำจัดและควบคุมวัชพืชหรือสาหร่ายที่ปกคลุม แต่ก็มีความเสี่ยงที่จะใช้เกลือบำบัดกับพืชในบ่อ

 

จะวัดปริมาตรบ่อโดยใช้เกลือได้อย่างไร?

เราสามารถวัดปริมาตรบ่อโดยใช้เกลือได้เช่นกัน น่าแปลกที่นักตกปลา ปลาคาร์ฟ และเจ้าของบ่อส่วนใหญ่ไม่ทราบปริมาณบ่อของตน นี่คือวิธีการใช้เกลือเพื่อให้ได้ปริมาณน้ำที่แน่นอนมากขึ้น

เจ้าของบางคนอาจมีข้อมูล แต่หลายครั้งก็เป็นเพียงการประมาณคร่าวๆ มีอยู่ครั้งหนึ่ง ลูกค้าของ เชื่อว่าเขามีสระน้ำขนาด 10,000 แกลลอน แต่เราพบว่ามีเพียง 3,000 แกลลอน เท่านั้น นั่นทำให้ กลัวมากเพราะถ้าเราใช้ยาหรือเกลือโดยอาศัยข้อมูลที่ไม่ถูกต้องล่ะ? มันสามารถทำลายปลาคาร์ฟ ทั้งหมดในสระของเขาได้

หากเราใช้สมการความเข้มข้นของเกลือ การคำนวณปริมาณน้ำที่แน่นอนของบ่อนั้นค่อนข้างง่าย นี่คือขั้นตอน:

  1. ตรวจสอบระดับเกลือในบ่อด้วยเครื่องวัดเกลือแบบดิจิตอล
  2. ใส่เกลือ 1 ปอนด์หรือเกลือตามชอบ
  3. ตรวจสอบระดับเกลืออีกครั้งเพื่อให้แน่ใจว่าเกลือทั้งหมดละลายหมดแล้ว
  4. จากความแตกต่างของเปอร์เซ็นต์ใหม่ของระดับเกลือ ให้คำนวณปริมาตรน้ำทั้งหมดดังนี้

ถ้า ใช้ลิตรสำหรับปริมาตรบ่อ สูตรคือ KG / % = VL

  • KG = เกลือกิโลกรัมที่เติม
  • % = การเปลี่ยนแปลงความเข้มข้นที่เกิดขึ้นจริงเป็น %
  • VL = ปริมาตรเป็นลิตร

ตัวอย่างเช่น  ประเมินว่าบ่อของ บรรจุได้ประมาณ 10,000 ลิตร (ประมาณ 2,650 แกลลอน)

  1. ตรวจสอบระดับเกลือ จากการใช้เกลือครั้งก่อน ค่าที่อ่านได้คือ 0.1%
  2. หากต้องการเพิ่ม 0.1% ในบ่อ 10,000 ลิตร ต้องเติมเกลือ 10 กก. (ประมาณ 22 ปอนด์) ดังนั้น จึงเพิ่ม 10 กก. ลงในบ่อของ
  3. หลังจากที่เกลือละลายจนหมด ค่าที่อ่านได้จะแสดง 0.18%
  4. เกลือ 10 กก. เพิ่มระดับเกลือ 0.08% (= 0.18% – 0.1%) 10 / 0.08% = 12500 ซึ่งหมายความว่าบ่อของ จุ 12,500 ลิตร (ประมาณ 3,300 แกลลอน)

ถ้า ใช้แกลลอนสำหรับปริมาตรบ่อ P/(%*10)*1.2 = VG

  • P = เกลือเพิ่มปอนด์
  • % = การเปลี่ยนแปลงความเข้มข้นที่เกิดขึ้นจริงเป็น %
  • VG = ปริมาตรเป็นแกลลอน

ใช้สูตรนี้สำหรับตัวอย่างเดียวกัน 22 / (0.08% * 10)*1.2= 3300

 

ประโยชน์หลักของเกลือสำหรับบ่อปลาคาร์ฟ

เกลือทำหน้าที่ได้อย่างยอดเยี่ยมในการจัดการแบคทีเรียและปรสิตในร่างกายของปลาคาร์ฟ นอกจากนี้ยังช่วยปรับสมดุลแรงดันออสโมติกเมื่อปลาคาร์ฟป่วยหรือเครียดเพื่อช่วยให้ปลาคาร์ฟฟื้นตัวได้ดีขึ้น

การใช้เกลือกับยา ไม่ต้องกังวลกับผลข้างเคียง สามารถสร้างบ่อเกลือที่มีสารละลายน้ำเกลือเข้มข้นสูง และใส่ปลาคาร์ฟในระยะเวลาอันสั้นเพื่อฆ่าเชื้อแบคทีเรียบนพื้นผิวได้อย่างรวดเร็ว

ระวัง. เนื่องจากเกลือเป็นพิษต่อปลาคาร์ฟ อย่าเร่งใช้เกลือเป็นยาในบ่อปลาคาร์ฟ หากปลาคาร์ฟ ว่ายน้ำอย่างเชื่องช้าหรือดูป่วย หรือ ซื้อปลาคาร์ฟตัวใหม่ ขอแนะนำให้รักษาปลาคาร์ฟในบ่อกักกันด้วยเกลือ สิ่งนี้จะป้องกันไม่ให้ ใช้เกลือมากเกินไปในบ่อหลักและเสี่ยงต่อการสูญเสียปลาคาร์ฟได้

 

Benefits of Salt in Koi Pond & Tips for Safely Using It!

by Taro Kodama

Non Infected Disease

โรคปลาคาร์ฟ (ที่ไม่ได้เกิดจากการติดเชื้อ)

ความเจ็บป่วยที่ไม่ได้เกิดจากการติดเชื้อ อาจมีสาเหตุมาจากคุณภาพน้ำไม่ดี สารอาหารไม่เพียงพอ ดูแลไม่ดี หรือ การควบคุมทางพันธุกรรมไม่ดี สิ่งเหล่านี้ไม่สามารถถ่ายโอนไปสู่ตัวอื่นๆได้ เช่นกัน

ท้องผูกหรืออาหารไม่ย่อย
ปลาคาร์ฟ ทีท้องผูกหรือทุกข์ทรมานจากอาหารไม่ย่อยมักจะไม่คล่องแคล่ว นอนอยู่ที่ก้นบ่อ และท้องบวม สาเหตุมาจากการให้อาหารไม่สมดุล อาหารไม่ถูกกับปลา หรือให้อาหารมากเกิน ต้องเปลี่ยนอาหารใหม่ จะเติมเกลือแมกนีเซียมซัลเฟต 1 ช้อนชาต่อน้ำ 5 แกลลอน ในถังพยาบาล ควรลดอาหารปลา 3-5 วันจนกว่ามันจะแข็งแรง ให้อาหารสดหรืออาหารแช่แข็งตลอด 1 สัปดาห์ หลังจากนั้นเอาปลากลับลงบ่อ ควรสังเกตดูปลาให้ดี เพราะอาการเหล่านี้มีแนวโน้มว่าจะเกิดขึ้นอีก

โรคถุงลม
สังเกตจากการที่ปลาว่ายน้ำได้ไม่เต็มที่ โรคนี้สามารถวินิจฉัยได้ง่าย จากการเสียสมดุลในการว่ายไปข้างใดข้างหนึ่ง หรืออาจหงายท้องเลย โรคนี้เกิดจากท้องผูก การฟกซ้ำในระหว่างสัมผัส การต่อสู้ การผสมพันธุ์หรือจากการติดเชื้อแบคทีเรียที่มีสาเหตุมาจากคุณภาพน้ำไม่ดี สิ่งเหล่านี้แก้โดยการรักษาบริเวณทีฟกซ้ำ แต่ปัญหาคือไม่สามารถตรวจดูแผลทั้งหมดได้ ถ้าสงสัยว่าอาจเกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรีย ก็ควรปรับปรุงคุณภาพของน้ำ และรักษาปลาด้วยยาปฏิชีวนะ ถ้าเกิดจากการท้องผูก ควรเปลี่ยนอาหารปลาและสังเกตดูความเปลี่ยนแปลง

เนื้องอก
ก้อนบวม นูน หรือเนื้องอก ดูเหมือนเม็ดพุพอง หรือหูดสามารถเอาเนื้องอกบางจุดออกได้ เนื้องอกบนเซลล์ผิวที่ถูกย้อมสีเป็นอันตรายถึงตาย และสังเกตได้จากก้อนที่หลัง เนื้องอกที่ตับก็ถูกพบในปลาคาร์ฟ และก่อให้เกิดอาการท้องบวม พอง เนื้องอกทั้งสองชนิดไม่สามารถรักษาได้

ตาโปน
โรคนี้ทำให้ปลาตาโปนจากเบ้าตา และอาการนี้สังเกตได้ง่าย ปลาที่เป็นโรคมักอยู่ในน้ำที่คุณภาพไม่ดีและมีแรงกดดัน การรักษาอาจต้องใช้เวลาหลายวันถ้าจะพัฒนาคุณภาพของน้ำ บางคนบอกว่าควรงดให้อาหารปลา 2-3 วัน จนกว่าบ่อจะได้รับการแก้ไข

Infect Disease

โรคปลาคาร์ฟ (ที่เกิดจาการติดเชื้อ)

โรคติดเชื้อ การจะเป็นโรคติดเชื้อได้นั้น สาเหตุมาจากเชื้อต่างๆ ดังนี้ แบคทีเรีย ปรสิต รา ไวรัส และโปรโตซัว ซึ่งเชื้อต่างๆ เหล่านี้สามารถแพร่ไปให้ปลาตัวอื่นๆได้

การติดเชื้อแบคทีเรีย

โรคบวมน้ำหรือโรคไต
รู้จักกันในชื่อ “Pinecone” สังเกตได้จากท้องบวมและเกล็ดหลุด โรคนี้เป็นสาเหตุให้ตัวบวม เพื่อที่จะสร้างของเหลวในเนื้อเยื่อ โรคบวมน้ำ เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย Aeromonas และ Pseudomonas สาเหตุมาจากคุณภาพน้ำไม่ดี หรือไม่ก็ความเข้มข้นของออกซิเจนต่ำ ถ้าโรคบวมน้ำเจริญเต็มที่ ปลาคาร์ฟ จะอยู่ไม่เกิน 1 สัปดาห์ โรคนี้เหมือนกับโรคท้องผูกและโรคถุงลมปลา ปลาที่รอดชีวิตจากโรคถุงลม มีแนวโน้มว่าจะเป็นอีกครั้ง เพราะว่าโรคนี้ติดต่อได้ง่าย ทางที่ดีควรย้ายปลาที่เป็นโรคออกไปโรคนี้รักษาไม่หาย ควรย้ายปลาออกมาทันทีและฆ่าทิ้งโดยไม่ให้ทรมาน บางคนคิดจะรักษาให้หายด้วยยาปฏิชีวนะ บางคนแนะว่าให้ผสม Furanance 250 มิลลิกรัมต่อน้ำ 1แกลลอน อาบให้ปลา ควรอาบภายใน 1 ชั่วโมง และไม่ควรอาบซ้ำเกิน 3 ครั้ง ภายใน 3 วัน ว่ากันว่าปลารับเอาสารนี้ทางผิว ถ้าไม่เลือกใช้วิธีนี้อาจใช้วิธีอาบน้ำเกลือแบบเก่า ถ้าปลาไม่ตอบสนองต่อการรักษาภายใน 2-3 วัน ปลาควรถูกฆ่าทิ้ง

แผลเปื่อย (Furunculos หรือ Ulcer Disease)
การติดเชื้อของแบคทีเรียชนิดนี้จะไม่ค่อยแสดงอาการ แต่จะแพร่เชื้อไปอย่างรวดเร็ว จะติดเชื้อที่เกล็ดที่ดูเหมือนยเงี่ยง การติดเชื้อนี้แสดงอาการที่รอยกระแทกใต้เกล็ด ต่อมารอยกระแทกจะเริ่มปริออก ทำให้เกิดแผลเปื่อยขณะที่ปลาบางตัวรอดชีวิตจากโรคนี้ รอยแผลเป็นที่เกิดจากการติดเชื้อมักจะสร้างปัญหาสำหรับมันอีก บางทีปลาที่เป็นโรคนี้ควรจะถูกฆ่าทิ้งปลาที่ยังเหลืออยู่ให้รัีกษาด้วยเตตร้าชัยคลินทันที ควรกำจัดอาหารที่เหลือ การรักษาควรใช้เวลา 10 วัน

Ulcers (Hole-in-the Body Disease)
คือโรคติืดเชื้อที่มีแนวโน้มว่าจะเกิดภายใน และแสดงอาการคือแผลเปื่อยสีแดงขนาดใหญ่ ฝี และสีแดงคล้ำที่ฐานของครีบ เราจะไม่สับสน โรคนี้กับโรคหนอนสมอ เพราะว่าอาการของหนอนสมอจะบวม ในขณะที่โรคนี้จะถูกกินจากภายในการอาบน้ำเกลืออาจจะรุนแรงเกินไป แต่ปลาที่ติดเชื้อควรจะแยกไว้ต่างหากและให้ยารักษาอีกครั้ง ที่ต้องใช้ยา่ปฎิชีวนะ

Mouth Fungus (Columnaris Disease)
มีสาเหตุมาจากเชื้อแบคทีเรีย Flexibacter และแสดงอาการโดยมีตุ่มขาวๆ โตบริเวณรอบปาก นอกจากนั้นยังพบได้ที่เหงือก หลัง และ ครีบ ถ้าปล่อยปละละเลยโดยไม่รักษา โรคนี้จะลุกลามไปทั่วและปลาก็จะตายควรพาไปพบสัตวแพทย์ แต่ควรแยกปลาและรักษาด้วยน้ำเกลือก่อน บางคน เริ่มการรักษาด้วย่น้ำเกลือ และต่อด้วยการควบคุมแบคทีเรียที่สำคัญ

โรคครีบติดเชื้อแบคทีเรียหรือหางเน่า
การต่อสู้กันระหว่างปลา อาจก่อให้เกิดความเสียหายที่ครีบหรือหาง บริืเวณที่เจ็บง่ายต่อการติดเชื้อของแบคทีเรีย และโรคนี้อาจเกิดจากคุณภาพน้ำไม่ดี มันง่ายที่จะป้องกันขณะที่ครีบมีบางส่วนหลุดไปและกลายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย เมื่อโรคแสดงอาการรุนแรง ครีบจะค่อยๆ กร่อนไปมียาปฎิชีวนะที่ช่วยแก้ปัญหานี้ได้ควรแช่ปลาลงในอ่างที่ผสมเกลือโปแตสเซียม 8 ผลึกต่อน้ำ 3 ส่วน 4 แกลลอนทิ้งไว้ 5 นาที หลังจากนั้นเอาบริเวณที่ิดเชื้อของหางและครีบออก และทาหางด้วย Methylene blue หรือยาแดง การรักษานี้ค่อนข้างรุนแรงและควรกระทำโดยผู้เชี่ยวชาญ

โรคเหงือกติดเชื้อแบคทีเรีย
สาเหตุมาจากแบคทีเรียหลายสายพันธุ์ โรคนี้เกี่ยวกับการอยู่รวมกันเป็นจำนวนมาก และคุณภาพของน้ำไม่ดี น้ำอุณหภูมิสูงก็ทำให้เกิดโรคนี้ได้ อาการของโรคคือ ความเสียหายของเส้นใยที่เหงือก เยื่อบุเมือกที่ผิว และนิสัยการหายใจที่ผิวน้ำ อาจแก้ไขได้โดยลดจำนวนประชากรปลาในบ่อและัพัฒนาคุณภาพน้ำ การรักษาแบบแอนตี้แบคทีเรียอาจมีประโยชน์แต่ทางที่ดีที่สุด คือ การป้องกันไม่ให้เกิดโรคขี้นได้

วัณโรคปลา
สาเหตุมาจากแบคทีเรีย Mycobacteria และเป็นสาเหตุให้เกิดบาดแผลที่เรีกยว่า Granuloma ที่อวัยวะภายใน เพราะว่าเนื้องอกอยู่ภายในและไม่แสดงอาการ โรคนี้ ตาจะบวมแดงและช่องท้องก็จะบวม พอง การวินิจฉัยสามารถรับรองก็ต่อเมื่อตรวจภายในหลังปลาตาย ไม่มีการรักษาสำหรับโรคนี้

การติดเชื้อรา (Fungus)
สาเหตุจากเชื้อราในสกุล Saprolegnia ที่มักเป็นอันตรายต่อปลาเขตร้อนเชื้อรานี้จะแสดงอาการไม่ชัดเจน แต่มันจะขาวและง่ายต่อการสังเกตกว่าโรค Velvet สาเหตุเบื้องต้นของโรคนี้เกิดจากความเสียหายของเยื่อบุเมือกบนผิวที่เชื้อรามาเกาะและเจริญเติบโต ความบาดเจ็บสภาพแวดล้อม และปรสิตก็สามารถทำลายการป้องกันของเยื่อบุผิวได้การรักษาการทา Methylene blue ในบริเวณที่ติดเชื้อ หลังจากนั้นปลาจะถูกนำไปแช่น้ำเกลือ 10 วัน และอาจต้องไปพบสัตวแพทย์

Body Slim Fungus
โรคนี้สามารถฆ่าปลาได้ภายใน 2 วัน ถ้าไม่รักษาให้ทันเวลาเยื่อบุเมือกที่หุ้มจะเป็นสีขาวและเริ่มหลุดออก เหมือนกับว่าปลากำลังลอกคราบ ครีบจะค่อยๆถูกปกคลุม ท้ายสุดตัวก็ลายแดงด้วยอาการระคายเคียงการอาบน้ำเกลืออุ่นๆ จะเป็นการแก้ปัญหาชั่วคราว เพราะจะช่วยลดการเจริญเติบโตของเชื้อรา การไปพบสัตวแพทยเป็นวิธีที่แนะนำใหปฎิบัติ

Branchiomycosis
การติดเชื้อชนิดนี้ส่งผลกระทบต่อเหงือก ทำให้เกิดการกดระบบหายใจและเลือดออกที่เหงือก บริเวณของเนื้อเยื่อเหงือกที่ตายบ่งชี้ให้เห็นถึงโรคนี้ และที่โชคร้ายคือ ยังไม่มีการรักษาสำหรับโรคนี้ และปลาที่เป็นโรคก็จะตายภายในเวลาไม่กี่วันควรแยกปลาไว้ต่างหาก ถ้า่สงสัยว่าติดเชื้อ Branchiomycosis

การติดเชื้อไวรัส

ไวรัสปลาคาร์พ
เชื้อไวรัส KHV (Koi Herpes Virus) เชื้อไวรัสชนิดนี้ จะทำลายระบบภูมิคุ้มกัน ของปลา จึงทำให้เกิดการติดเชื้อจาก แบคทีเรียได้ง่าย มีตุ่มพุพองเกิดขึ้นที่ตัวปลา โรคนี้ได้ระบาด ครั้งใหญ่ในจังหวัด อิบารากิ ประเทศญี่ปุ่น การทำให้ปลาคาร์พ ในประเทศญี่ปุ่นตายไปถึง 1,124 ตัน ธุรกิจเลี้ยงปลาคาร์พเสียหายคิดเป็นเงินสูงถึง 280 ล้านเยน เมื่อปี 2546 โรคร้ายสายพันธุ์นี้ เป็นหนึ่งในโรค ที่ OIE องค์การระบาดสัตว์ ระหว่างประเทศ สั่งให้ประเทศ สมาชิกควบคุม อย่างเข้มงวด กรมประมงไทย ออกประกาศ สั่งห้ามนำปลาคาร์พจาก ญี่ปุ่นเข้าประเทศไทย เมื่อกลางเดือน พฤศจิกายน 2546 และต่อมาได้มีการยกเลิก คำสั่งห้ามนำเข้าปลาคาร์พ จากญี่ปุ่น ไปเมื่อเดือนพฤศจิกายน 2547 เพราะสถานการณ์ดีขึ้น และมีการเฝ้าระวัง แต่การระบาดของโรค KHV ที่เกิดขึ้น เมื่อเดือนที่แล้วและเป็นข่าวที่พบจากฟาร์มปลา ในบ้านเรา อาจมาจากการลักลอบ นำเข้าปลาคาร์พสวยงาม จากประเทศญี่ปุ่น เพื่อนำเข้ามาประกวด ปลาสายงาม และเชื้อได้แพร่สู่ปลาตัวอื่นๆ ที่เข้าร่วมประกวด ความน่ากลัว ก็ตรงที่มันไม่แสดงอาการ นี่แหลมันจะกลาย เป็นตัวพาหะแพร่ไปสู่ปลาตัวอื่น และรอโอกาสจน เมื่ออุณหภูมิน้ำลดต่ำลง สภาพน้ำผิดปกติ เชื้อจึงกลับมาสร้างปัญหาอีกครั้ง โรคนี้ไม่ได้เกิดเฉพาะกับปลาแฟนซีคาร์พอย่างเดียว ปลาในตระกูล ปลาคาร์พ ปลาไน, ปลาจีน, ปลาตะเพียน, ปลากระโห้, ปลาซ้ง, ปลายี่สก, ปลาหางไหม้, ปลากา ฯลฯ เป็นได้ทั้งนั้น ถ้าเป็นปลาในตระกูล ปลาคาร์พ สามารถป่วยเป็นโรค KHV ได้ทั้งสิ้น

อาการโดยทั่วๆไป
1. เหงือกจะถูกทำลาย ปลาจะขึ้นมาลอยหัวฮุบอากาศ ที่ผิวหน้าน้ำตลอดเวลา
2. ตัวจะเห็นเป็นผื่นแดง เนื่องจากไวรัสได้เข้าไปทำลาย อวัยวะภายใน จนเกิดการตกเลือด
3. จะสังเกตุเห็นก้อนเลือด รวมตัวกันเป็นจ้ำๆ สีแดงคล้ำ จนออกเขียวบริเวณผิวหนังปลา
4. หากมีการติดเชื้อแบคทีเรียร่วม จะเกิดแผลหลุมตามลำตัว และเห็นเป็นขุยสีขาวติดอยู่เป็นจุดๆ
5. ถ้าอากาศเย็น ปลาจะตายภายใน 2-3 วัน อัตราการตาย 30-80%

วิธีการการป้องกัน
1. งดการนำปลาใหม่เข้าบ่อ ในช่วงที่มีการระบาด
2. รักษาอุณหภูมิน้ำ ให้สูงเกิน 28 องศาเซลเซียสไว้ตลอดเวลา
3. รักษาความแข็งแรง ของร่างกายปลา เพิ่มระดับภูมิคุ้มกันในปลา โดยการให้ วิตามิน C เสริมในอาหาร
4. ล้างบ่อกรอง อย่างสม่ำเสมอ เดือนละครั้ง เพื่อป้องกันการสะสม ของสารอินทรีย์ในบ่อจนเป็นสาเหตุ ของการเพิ่มจำนวน ของแบคทีเรีย
5. หากได้มีการ นำปลาใหม่เข้าบ่อในช่วงนี้ให้ใส่ ฟอร์มาลิน 30-40 cc. /น้ำ 1 ตัน แช่ทิ้งไว้ตลอด จะสลายตัว ไปเองภายใน 1-2 วัน เพื่อฆ่าเชื้อที่มีอยู่ในน้ำ
6. หากมีการ ทิ้งน้ำจากบ่อเลี้ยง จะต้องนำน้ำนั้นไปพักไว้และใส่ คลอรีนผง 50 กรัม /น้ำ 1 ตัน ทิ้งไว้ 1-2 วันจึงปล่อยทิ้ง เพื่อป้องกันเชื้อไวรัสแพร่ออกสู่แหล่งน้ำสาธารณะ

และเพื่อความไม่ประมาท แต่ไม่ต้องถึงขั้นตื่นตระหนกตกใจจนเกินไป ผู้เลี้ยงปลาคาร์พทั้งหลาย ควรหมั่นใส่ใจ เรื่องความสะอาด ของการเลี้ยงปลา อย่าเคลื่อนย้ายปลานอกพื้นที่เลี้ยง เมื่อพบปลาป่วยเป็นโรคนี้ ปลาตายก็ให้เผาและฝังดิน อย่านำไปทิ้งในแหล่งน้ำสาธารณะ และอย่าทิ้งสะเปะสะปะให้หมาแมวไปกิน อุปกรณ์เลี้ยงปลาคาร์พไม่ว่าจะเป็นสวิง ตาข่าย ควรหมั่นทำความสะอาดฆ่าเชื้อ น้ำที่ใช้เลี้ยงปลาคาร์พ ก่อนจะปล่อยทิ้งก็ควรฆ่าเชื้อด้วยน้ำยาฆ่าเชื้อ เพื่อป้องกัน ไม่ให้เชื้อโรคแพร่ กระจายเป็นวงกว้าง

Carp Pox โรคพุพอง โรคซิฟิลิส
โรคพุพองมักจะเป็นกับปลาคาร์ฟ และปลาในตระกูลใกล้เคียงการติดเชื้อไวรัสนี้ทำให้เกิดเมือกลื่นสีขาวขุ่นและสีชมพูเทา เคลือบบนผิวและครีบปลา ลัีกษณะอาการของโรคนี้ก็คือ มันเกิดขึ้นมาและดูเหมือนจะรุนแรง แต่ต่อมามันก็จะหายไปเอง ควรแยกปลาที่ติดเชื้อออกจนกว่าเมือกนั้นจะหายไป อาจจะกินเวลาประมาณ7-10วัน น้ำที่มีอุณหภูมิสูงจะช่วยให้อาการของโรคหายไป เพราะว่าโรคนี้ไม่ได้คร่าชีวิตปลา

Sping Viremia of Carp
มีลักษณะอาการคือ ตาพอง ผิวและเหงือกเป็นแผล ว่ายน้ำไม่ได้ แลหะท้องบวมโรคนี้เกิดจากเชื้อไวรัสที่ชื่อ Rhabdovirus carpio โรคนี้มีสาเหตุมาจากน้ำอุณหภูมิสูง และมักเกิดกับลูกปลา โรคนี้เป็นโรคเรื้อรัง การกลับมาเป็นไม่มีวิธีการรักษานอกจากปลาที่ติดเชื้อก็ควรย้ายออกจากบ่อ

Lymphocystic
เป็นโรคไวรัสธรรมดาที่สามารถจะวินิจฉัยได้จากการเกิดก้อนเนื้อแข็งขึ้นตามตัวโรคนี้ไม่มีอันตรายถึงตาย แต่ไม่มีทางรักษา มันสามารถกลับมาแสดงอาการอีกและติดต่อได้ง่าย จึงควรต้องย้ายปลาที่ติดเชื้อออกจากบ่ออย่างถาวร

โรคติดเชื้อจากพยาธิ

เห็บปลา
เกิดจากเห็บปลา fish louse หรือ Argulus sp. จัดอยู่ในไฟลัมอาร์โธรโปด้าฃั้นครัสเตเซียน เห็บปลามีขนาดประมาณ 5-10 มิลลิเมตร มองเห็นด้วยตาเปล่าตัวเมียมีขนาดใหญ่กว่าตัวผู้ ลำตัวมีสีเขียวปนเหลือง หรือน้ำตาล ตัวกลมแบนด้านหลังโค้งมน ลำตัวเป็นปล้องเชื่อมติดกัน ส่วนของปากเจริญมากและเปลี่ยนแปลงไปเป็นอวัยวะสำหรับดูดเกาะมีตารวม 2 ตา ระหว่างตารวมมีตาเดี่ยว 1 ตาระหว่างตาทั้ง 3 มีงวงขนาดใหญ่ ทำหน้าที่เป็นอวัยวะสำหรับเกาะตัวปลามีปากอยู่หลังงวง ท่อทางเดินอาหารสั้น แต่มีสาขาแยกออกไปมาก มีขา 6 คู่คู่ที่ 1-4 เห็นได้ชัด ขาคู่ที่ 5 และ 6 หายไป ส่วนหางยื่นออกไปเป็น 2 แฉก อวัยวะสืบพันธุ์อยู่บริเวณหาง ตัวผู้มีอัณฑะใหญ่ 2 อัน ตัวเมียมีอวัยวะสำหรับรับน้ำเชื้อ1 คู่ รังไข่อยู่บริเวณกลางลำตัว ไข่ที่ได้รับการผสมแล้วจะอยู่ในท่อนำไข่บริเวณกลางลำตัว เห็บปลาวางไข่บนก้อนหินเรือวัตถุแข็งๆในน้ำ ไข่ฟักออกเป็นตัวภายใน 9-15 วันตัวอ่อนว่ายน้ำเป็นอิสระอยู่ประมาณ 20-24 ชั่วโมง แล้วจะเข้าเกาะปลา ถ้าไม่สามารถเข้าเกาะปลาได้ภายใน 24 ชั่วโมงจะตาย เมื่อเข้าเกาะปลาแล้ว 3-5 วัน จะลอกคราบครั้งแรก ลอกคราบทั้งหมดประมาณ 6ครั้งจึงกลายเป็นตัวเต็มวัย ตัวเมียเมื่อวางไข่แล้วจะตายส่วนใหญ่เกาะอยู่ตามผิวลำตัวเหงือกหัวและครีบของปลา กินเซลผิวหนังเป็นอาหารสามารถย้าตำแหน่งการเกาะได้ ทำให้ผิวหนังของปลาเป็นแผล มักพบเกิดกับปลาทีมีเกล็ดเช่น ปลาช่อน แรด นิล ไนตะเพียน เป็นต้น ในปลาที่มีการติดโรคนี้เป็นเวลานาน ปลาจะว่ายน้ำอย่างกระวนกระวาย โดยถูกับวัสดุหรือผนังตู้บริเวณที่ถูกเห็บปลาเกาะจะเกิดแผล ทำให้ตกเลือดบริเวณผิวหนังทั่วไปเห็บปลาที่พบในประเทศไทยได้แก่ Argulusfoliacieus, A.indicus, A.siamensis

การป้องกันและรักษา
1. แช่ปลาที่มีพยาธินี้ในสารละลายยาฆ่าแมลงจำพวกดิพเทอเร็กซ์ ในอัตราส่วน 0.5-0.75 กรัม /น้ำ 1,000 ลิตร นาน 24 ชั่วโมง
2. แช่ปลาในสารละลายด่างทับทิม (โปแตสเซียมเปอแมงกาเนต) ในอัตราส่วน 1 กรัม /น้ำ 10 ลิตร นานประมาณ 15-30 นาที แล้วจึงจะย้ายปลาไปใส่ในน้ำสะอาด
3. กำจัดเห็บปลาออกโดยการจับออกด้วยปากคีบ หากพยาธิชนิดนี้เกาะแน่นเกินไปให้หยดน้ำเกลือเข้มข้นประมาณ 1-2 หยด ลงบนตัวพยาธิแล้วจึงใช้ปากคีบดึงออก พยาธิจะหลุดออกโดยง่าย
4. การกำจัดเห็บปลาที่เกิดขึ้นในบ่อ ทำได้โดยการตากบ่อให้แห้งแล้วโรยปูนขาวให้ทั่วบ่อ
5. ควรพักปลาที่ขนส่งมาใหม่ในน้ำสะอาด แยกบริเวณจากปลาที่เลี้ยงอยู่เดิม เพื่อ
ให้แน่ใจว่าไม่มีเห็บปลาติดมาด้วย

หนอนสมอ
มักเกาะติดที่ผิวหนังปลา มีหลายๆ สายพันธุ์ของพยาธิชนิดนี้ตัวเมียจะมีหัวคล้ายสมอฝังอยู่ในตัวของโฮสท์ ปลามักจะถูตัวเพื่อครูดเอาพยาธิออก หนอนชนิดนี้คล้ายกับเห็บปลาที่จะก่อให้เกิดการระคายเคืองและเลือดไหลตรงที่พวกมันเกาะและส่วนที่ยื่นออกมาคือ หนอนสีขาว

การรักษาหนอนสมอ
การแยกปลาออกจากบ่อ และการใช้คีมคีบหนีบออก ต้องทำตามคำแนะนำที่มาพร้อมยาที่คุณซื้ออย่างเคร่งครัด

วิธีที่จะเอาหนอนออก
โดยวางผ้าเปียกในมือของคุณ จับปลาในมือที่ถือผ้าควรแน่ใจว่าวางตำแหน่งถูกต้องแล้ว โดยให้หนอนตรงกับตัวคุณ ใช้คีมคีบหนีบไปให้ใกล้กับแผลเท่าที่จะทำได้ แต่ให้โดนเฉพาะที่ตัวหนอน ดูให้แน่ใจว่าคุณไม่ได้หนีบเนื้อส่วนใดของปลา และต้องระวังไม่ให้ตัวหนอนขาด วิธีนี้ค่อนข้างอันตรายและต้องใช้ความระวังอย่างที่สุด ใช้ยาปฏิชีวนะก็ช่วยให้แผลหายเร็วขึ้นและควรปรึกษาพ่อค้าปลาในการรักษาด้วยวิธีนี้

ปลิง
ปลิงเป็นปรสิตที่มักพบที่ผิวหรือเกล็ดปลา ไม่มีปลิงที่เราจะเห็นมันอยู่โดดๆที่ทะเลสาบหรือบ่อน้ำ พวกมันเป็นสิ่งมีชีวิตคล้ายหนอนพยาธิที่เกาะกินเลือดกินเนื้อ ต้องเอามันออกจากตัวปลาให้เร็วที่สุด แต่ไม่ให้ใช้คีมคีบหนีบ เพราะปลิงพวกนี้แข็งแรงและอาจสร้างแผลให้แก่ปลา

การแช่น้ำเกลือด้วยส่วนผสมเกลือ 8 ช้อนชา /น้ำ 1 แกลลอน การแช่น้ำเกลือดูเหมือนว่าเพียงพอแล้ว นำปลาใส่ไม่เกิน 10 นาที สามารถใช้คีมคีบหนีบปลิงออกได้อย่างง่ายดาย ปลิงและไข่ของมันอาจติดมากับบ่อได้จากพืชต้นใหม่ จึงควรแยกพืชไว้ในถังกักก่อนที่จะนำมาลงบ่อ

Flukes-skin and gill (Dactylogyrus)
ปลาคาร์ฟ ที่อ่อนแอจะตกเป็นเหยื่อของ flukes ก่อนที่จะติดเชื้อใดๆ gill flukesคือพยาธิตัวแบนที่ง่ายต่อการป้องกัน สาเหตุให้เหงือกบวมและแดง และเป็นสาเหตุให้ปลาขึ้นมารับอากาศที่ผิวน้ำ บางครั้งของเหลวคล้ายหนองจะไหลออกมาจากเหงือก fluke เป็นปรสิตที่เล็กจนมองด้วยตาเปล่าไม่เห็น อาศัยอยู่ในเหงือก เช่นสีจางถูตัว และหายใจหอบ skin fluke (Gyrodactylus) เป็นสาเหตุที่ก่อให้เกิดอาการบวมเฉพาะที่ เมือกออกมากเกินและเป็นแผล

การรักษา ควรจะอาบยาฆ่าเชื้อ เอาปลาใส่ลงในน้ำ 1 แกลลอน เติมยาฆ่าเชื้อลงไป 15 หยดทุกๆนาที จนครบ 10 นาที หลังจากนั้น ย้ายปลาไปไว้ที่ถังพยาบาลทำตามวิธีข้างต้นไปอีก 3 วัน ต้องไม่ใส่เยอะเกิน ยาฆ่าเชื้อจะฆ่าปลาได้

โรคอิ๊คหรือโรคจุดขาว
จะมีจุดขาว เม็ดเล็กๆ ปรากฏขึ้นตามตัว เป็นปรสิต Ichthyophthirius เป็นชนิดธรรมดาที่เราเห็นทั่วไป แต่ไม่ควรให้มีจุดขาว เกิดกับปลาแม้แต่น้อยเพราะมันสามารถฆ่าปลาได้ถ้ามีเวลาพอ

การรักษา ยารักษาโรคนี้มีขายตามท้องตลาด ผลการรักษาไม่เป็นที่น่าพอใจควรลองโดยการแช่น้ำเกลือในถังกัก 10 วัน จำเป็นที่ต้องฆ่าเชื้อนี้ก่อนที่มันจะมีโอกาสแพร่ไปทั่วประชากรปลาอื่นๆ

Velvet
ปรสิตนี้คือ Oodinium เป็นสาเหตุให้เกิดปุยนิ่มสีทองปกคลุมที่ตัวและครีบปลาในปลาคาร์ฟ สีส้ม บางครั้ง เราอาจตรวจไม่พบโรคนี้ในครั้งแรกที่ดู การไปพบสัตวแพทย์เป็นเรื่องที่จำเป็นสำหรับโรคนี้ บางคนใช้ malachite greenหรือวิธีการเช่นน้ำเกลือแบบเก่า 10 วัน

Hole-in-the-Head Disease
โรคนี้มีสาเหตุมาจากปรสิต Hexamita เป็นปรสิตที่อยู่ภายในปลาคาร์ฟ ที่ไม่แข็งแรง ที่มีสาเหตุมาจากความกดดัน อายุ หรือคุณภาพน้ำไม่ดี มีโอกาสติดโรคนี้ได้ง่าย อาการคือ อุจจาระเป็นสีขาว เหนียว รูขุมขนที่เกี่ยวกับความรู้สึกเป็นหนองและมีขนาดใหญ่ขึ้น อาการอื่นรวมไปถึงการถูกทำลายของผิวและกล้ามเนื้อ ซึ่งค่อยๆขยายไปถึงกระดูกและกะโหลกศรีษะย้ายปลาไว้ในถังกัก เปลี่ยนน่ำเป็นประจำก็เพียงพอที่จะช่วยรักษษปลา เพิ่มสารอาหารด้วยวิตามินซี ก็จะช่วยให้ปลามีอาการดีขึ้นด้วยยา Metronidazole 50 มิลลิกรัมต่อน้ำทุกๆแกลลอน ใช้อาบก็เป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพ ควรใช้วิธีนี้ซ้ำในอีก 3 วันต่อมา

 

Koi Food Post

อาหารปลาคาร์ฟ

“ปลาคาร์ฟ” เป็นปลาสวยงามที่สามารถพบได้ตามแหล่งน้ำจืดในประเทศต่าง ๆ ด้วยความที่เป็นปลาสีสันสดใส รูปร่างสวยงาม เลี้ยงง่ายและโตไว ปลาคาร์ฟจึงเป็นปลาเลี้ยงชนิดหนึ่งที่ได้รับความนิยมอย่างกว้างขวาง ทั้งในประเทศโซนยุโรป เอเชียและประเทศแถบตะวันออกกลาง หลาย ๆ คนนิยมเลี้ยงปลาคาร์ฟในบ่อธรรมชาติ หรือบ่อน้ำที่จัดแต่งให้มีลักษณะใกล้เคียงกับธรรมชาติมากที่สุด นอกจากช่วยจะสร้างบรรยากาศให้ดูสวยงามแล้ว ยังเป็นการจำลองสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมต่อการเจริญเติบโตของปลาด้วย แต่นอกจากเรื่องที่อยู่อาศัยแล้ว “อาหารปลาคาร์ฟ” ก็เป็นสิ่งสำคัญที่ผู้เลี้ยงต้องใส่ใจในการเลือกซื้อเช่นกัน

อาหารปลาคาร์ฟที่ได้รับความนิยมสูงสุดในปัจจุบัน คือ อาหารปลาสำเร็จรูป ซึ่งโดยส่วนใหญ่จะมีการผสมสารอาหารและแร่ธาตุต่าง ๆ เข้าไปด้วย เพื่อช่วยเร่งอัตราการเติบโตและเพิ่มสีสันให้กับปลา อาหารปลาคาร์ฟที่ดีไม่เพียงแต่จะต้องมีสารอาหารครบ 5 หมู่ในอัตราส่วนที่เหมาะสมเท่านั้น แต่ยังต้องเป็นอาหารที่เข้ากับพฤติกรรมการกินของปลา เข้ากับสายพันธุ์และช่วยเสริมสุขภาพที่ดีให้กับปลาได้ด้วย ในบทความนี้ เราจะพาคุณไปรู้จักวิธีการเลือกอาหารปลาคาร์ฟ พร้อมคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญด้านสัตว์เลี้ยงอย่างง่าย ๆ พร้อมแนะนำ 10 อันดับ อาหารปลาคาร์ฟสำเร็จรูปที่ได้รับความนิยมอย่างท่วมท้นในหมู่คนรักปลา หาซื้อง่ายและสามารถหาได้ตามร้านค้าออนไลน์ได้ด้วย ซึ่งมีทั้งเหมาะกับสายพันธุ์จักรรพรรดิ ญี่ปุ่น ปลาประกวด รวมไปถึงปลาคาร์ฟที่ป่วย บำรุงให้โตเร็ว ให้สีสวย

ชนิดของอาหารปลา

อาหารปลาสามารถแบ่งได้เป็น 3 ชนิดใหญ่ ๆ คือ อาหารธรรมชาติ อาหารสมทบและอาหารสำเร็จรูป ซึ่งแต่ละชนิดก็จะมีประโยชน์ต่อปลาและความสะดวกในการใช้งานที่แตกต่างกันไป ดังต่อไปนี้

อาหารปลาธรรมชาติ

อาหารธรรมชาติ หมายถึง อาหารที่มีชีวิตซึ่งอาศัยอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ปลาอยู่ โดยสามารถเป็นได้ทั้งสัตว์และพืช เช่น กุ้ง หอย สาหร่าย ตะไคร่ และแพลงก์ตอนชนิดต่าง ๆ รวมถึงเศษอาหารหรือเศษเนื้อ ซึ่งผู้เลี้ยงจะต้องเลือกใช้ให้เหมาะกับชนิดของปลาว่าเป็นปลากินเนื้อหรือปลากินพืช ในกรณีของปลาคาร์ฟนั้น จัดเป็นปลาที่กินได้ทั้งเนื้อและพืช อาหารธรรมชาติที่เหมาะสมจึงสามารถเป็นได้ทั้งสาหร่าย, พืชน้ำ, แพลงก์ตอน หรือลูกสัตว์น้ำ

อาหารธรรมชาติมีข้อดีตรงที่สามารถช่วยให้ปลาเติบโตได้อย่างสุขภาพดีและว่ากันว่าจะช่วยให้ปลามีสีสันที่สดใสกว่าการเลี้ยงด้วยอาหารสมทบและอาหารเม็ด จึงนับเป็นอาหารชนิดสำคัญในการเลี้ยงปลาสวยงาม นอกจากนี้ ยังสามารถลดโอกาสเสี่ยงของการเกิดน้ำเน่าเสียหรือหมักหมมได้มากกว่าด้วย

อย่างไรก็ตาม เนื่องจากอาหารธรรมชาติแต่ละอย่างมีขนาดเล็กมากซึ่งหากจะใช้เลี้ยงปลาก็จำเป็นจะต้องป้อนในปริมาณมาก ส่งผลให้มีค่าใช้จ่ายที่สูงขึ้น ใช้เวลาในการเตรียมมากขึ้น รวมถึงอาจไม่สะดวกต่อผู้เลี้ยงที่ต้องมาคอยสรรหาอาหารสดเป็น ๆ เหล่านี้ด้วย ผู้เลี้ยงปลาสวยงามหลาย ๆ คนจึงหันไปใช้อาหารเม็ดสำเร็จรูปเป็นหลักและใช้อาหารธรรมชาติบ้างเป็นครั้งคราวแทน

อาหารปลาสมทบ

อาหารสมทบเป็นอาหารที่ใช้เลี้ยงปลาเพื่อเสริมสารอาหารให้ปลาโตไวและมีสุขภาพแข็งแรง อาหารปลาสมทบที่ได้รับความนิยมในหมู่นักเลี้ยงปลาชาวไทย คือ หนอนแดงหรือไรแดงแช่แข็ง ซึ่งหนอนแดงถือเป็นอาหารที่มีประโยชน์สำหรับปลาสวยงามเป็นอย่างมาก เพราะมีคุณค่าทางโภชนาการสูง ช่วยให้ปลาโตไวสีสวยและไม่ทำให้น้ำเน่าเสีย ในขณะที่ไรแดงจะนิยมใช้ในการเลี้ยงหรืออนุบาลลูกปลา ว่ากันว่าหากเลี้ยงด้วยไรแดงจะทำให้ลูกปลาโตเร็วมากและมีโอกาสรอดสูง

โดยทั่วไปหนอนแดงแช่แข็งจะมาในรูปแบบก้อนน้ำแข็ง ราคาค่อนข้างแพงและจะต้องนำมาละลายก่อนนำไปป้อนปลาและมีอายุการเก็บรักษา 5 – 6 เดือน ข้อควรระวังในการเลือกซื้อหนอนแดงหรือไรแดงแช่แข็ง คือ ต้องตรวจสอบคุณภาพ ความสดและความสะอาดให้ดี ควรผ่านการฆ่าเชื้อและไม่มีการผสมสีสังเคราะห์ เพื่อให้ไม่เป็นอันตรายต่อสุขภาพปลาของคุณ ในกรณีของไรแดงก็เช่นกัน ควรเลือกซื้อไรแดงแช่แข็งที่สะอาด มีคุณภาพ และควรเป็นไรแดงเลี้ยงมากกว่าไรแดงที่เก็บมาจากธรรมชาติเพราะกลุ่มนี้จะมีความเสี่ยงในการเป็นโรคพยาธิสูงและอาจเป็นอันตรายต่อปลาของคุณได้นั่นเอง

อาหารปลาสำเร็จรูป

อาหารสำเร็จรูป เป็นอาหารที่ใช้ง่ายที่สุดในบรรดาอาหารปลาทั้งหมดและเป็นของสำคัญที่ขาดไม่ได้ โดยเฉพาะในการเลี้ยงปลาสวยงาม เนื่องจากมีส่วนผสมของสารอาหารที่สำคัญอย่างโปรตีน, วิตามิน, แร่ธาตุ รวมถึงสารอาหารอื่น ๆ ที่จะช่วยบำรุงปลาให้มีสุขภาพแข็งแรงและสีสันที่สดใสสวยงามเต็มที่ ในปัจจุบัน มีอาหารปลาสำเร็จรูปมากมายให้เลือกซื้อ ไม่ว่าจะเป็นสูตรต่าง ๆ ที่เน้นการบำรุงเฉพาะทางที่แตกต่างกันไป อย่างการเร่งสี เร่งโต หรือกระตุ้นการสร้างวุ้นในตัวปลา

koi_food_12

ยิ่งไปกว่านั้น รูปแบบขนาดของอาหารที่ทำออกมาอย่างหลากหลายเพื่อให้สามารถตอบโจทย์ความต้องการของผู้เลี้ยงปลาสายพันธุ์ต่าง ๆ มีทั้งแบบเม็ด แบบแผ่นและแบบผง โดยสำหรับผู้เลี้ยงชาวไทย รูปแบบของอาหารปลาที่นิยมมากที่สุดคือ อาหารเม็ด ซึ่งสามารถแบ่งได้เป็น 2 ประเภทย่อย คือ อาหารเม็ดแบบลอย (Floating Type) และแบบจม (Sinking Type) เพื่อให้เข้ากับพฤติกรรมการกินอาหารของปลาแต่ละชนิด ทั้งปลาที่กินอาหารบนผิวน้ำ กลางน้ำและใต้น้ำ

ปลาคาร์ฟเป็นปลาที่กินทั้งพืชและสัตว์เป็นอาหาร อาหารปลาคาร์ฟที่วางขายในปัจจุบันส่วนใหญ่อยู่ในรูปแบบของอาหารปลาสำเร็จรูปซึ่งให้อาหารและเก็บรักษาได้ง่ายและสะดวก นอกจากนี้ ยังมีอาหารปลาคาร์ฟอีก 2 ชนิดที่เจ้าของสามารถให้เสริมได้ คือ อาหารธรรมชาติและอาหารสมทบ

อาหารธรรมชาติ เช่น แพลงก์ตอนพืช แพลงก์ตอนสัตว์ พืชน้ำ เป็นต้น ส่วนอาหารสมทบ หมายถึง ต้นพืช เศษอาหาร กุ้ง หอย ปลาป่น เป็นต้น

วิธีการเลือกอาหารปลาคาร์ฟ

ต่อไปเราจะมาแนะนำวิธีเลือกอาหารปลาคาร์ฟที่นักเลี้ยงมือใหม่สามารถนำไปเป็นคู่มือในการเลือกซื้อได้อย่างง่ายดายกัน โดยในบทความนี้ เราจะเน้นวิธีการเลือกอาหารปลาสำเร็จรูปเป็นหลัก เพราะเป็นชนิดที่ได้รับความนิยม ใช้งานง่ายไม่ต้องเสียเวลาเตรียมล่วงหน้า ซึ่งตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ยุคใหม่อันแสนรีบเร่งของทุกคน

เลือกอาหารปลาคาร์ฟให้เหมาะกับพฤติกรรมของปลา

อย่างที่เราได้กล่าวไปข้างต้น อาหารปลาสำเร็จรูปมีอยู่ด้วยกัน 2 รูปแบบ คือ อาหารเม็ดลอยและอาหารเม็ดจม หากไม่แน่ใจว่าควรจะซื้ออาหารแบบใด เราขอแนะนำให้พิจารณาตามพฤติกรรมการทานอาหารของปลา

สำหรับปลาคาร์ฟตัวใหญ่ ให้ใช้ “อาหารเม็ดจม” เพราะปลาเหล่านี้จะมีน้ำหนักตัวและโครงสร้างที่หนักพอสมควร การใช้อาหารเม็ดจมจะช่วยให้ปลาไม่ต้องออกแรงมากในการขึ้นมาทานอาหารบนผิวน้ำและป้องกันความเสี่ยงของภาวะหลังแอ่นที่เกิดจากการเงยหน้าทานอาหารติดกันเป็นเวลานานด้วย

สำหรับปลาที่มีอาการตื่นกลัวและหวาดระแวง ให้ใช้ “อาหารเม็ดจม” เนื่องจากปลาเหล่านี้จะไม่กล้าขึ้นมาทานอาหารบนผิวน้ำ หากคุณใช้อาหารเม็ดลอย ปลาก็จะไม่ขึ้นมาทานอาหารหรือขึ้นมาทานช้าหลังจากที่สารอาหารละลายน้ำไปแล้ว ดังนั้นจึงควรเริ่มด้วยการใช้อาหารเม็ดที่จมอยู่ในระดับกลางน้ำหรือพื้นน้ำก่อน เมื่อปลารู้สึกคุ้นเคยกับแหล่งที่อยู่และผู้เลี้ยงแล้วจึงค่อยสลับกับการให้อาหารเม็ดลอยเพื่อเป็นการปรับพฤติกรรม

สำหรับผู้ที่ต้องการสังเกตสุขภาพปลา ให้ใช้ “อาหารเม็ดลอย” เพราะอาหารเม็ดลอยจะทำให้ปลาว่ายขึ้นมาทานอาหารบนผิวน้ำ คุณจึงสามารถสังเกตสุขภาพร่างกายของปลาได้อย่างใกล้ชิด ทั้งความเร็วในการว่ายน้ำ, อาการป่วยและสัญญาณของโรคผิวหนังต่าง ๆ ซึ่งเมื่อทราบล่วงหน้าก็จะสามารถทำการรักษาได้อย่างทันท่วงที

สำหรับผู้ที่ต้องการรักษาคุณภาพน้ำ ให้ใช้ “อาหารเม็ดลอย” เนื่องจากคุณสามารถเห็นอาหารที่ปลาทานไม่หมดในเวลาอันสั้นและช้อนออกได้ทันที เป็นการลดผลกระทบจากการปนเปื้อนของส่วนผสมจำพวกแป้งและน้ำมันที่อยู่ในอาหารปลา ช่วยยืดเวลาในการเปลี่ยนน้ำและลดความเสี่ยงการเกิดน้ำเน่าเสียซึ่งอาจส่งผลให้ปลาป่วยได้

koi_food_21

ปลาคาร์ฟจะหาอาหารทั้งในระดับผิวน้ำ กลางน้ำ และท้องน้ำ มักใช้ปากคุ้ยเขี่ยหาอาหารตามริมขอบฝั่งหรือหน้าดินตามขอบฝั่ง ทั้งนี้ทั้งนั้น ปลาคาร์ฟแต่ละตัวมีพฤติกรรมการกินอาหารและตำแหน่งการหาอาหารแตกต่างกัน เจ้าของจึงควรสังเกตและรู้จักพฤติกรรมของปลาคาร์ฟก่อน เพื่อเลือกและให้อาหารปลาได้อย่างเหมาะสม ซึ่งอาหารของปลาคาร์ฟสามารถแบ่งได้เป็น 2 ประเภท คือ อาหารปลาคาร์ฟชนิดจม และอาหารปลาคาร์ฟชนิดลอย

เลือกอาหารปลาคาร์ฟยี่ห้อที่สารอาหารครบ มีแร่ธาตุเสริมที่เหมาะกับสายพันธุ์

สิ่งสำคัญอีกอย่างหนึ่งในการเลือกซื้ออาหารปลาคาร์ฟ คือ สารอาหารต้องครบถ้วนและบำรุงปลาคาร์ฟของคุณได้อย่างตรงจุดตามสายพันธุ์และโครงสร้างร่างกาย ซึ่งคุณสมบัติพื้นฐานของอาหารปลาคาร์ฟที่ดีก็มีอยู่ 2 ข้อด้วยกัน

มีสารอาหารครบ 5 หมู่

อันดับแรกคือ สารอาหารต้องครบ  5 หมู่ มีโปรตีน คาร์โบไฮเดรต ไขมัน วิตามินและแร่ธาตุในอัตราส่วนที่พอดี อาหารปลาคาร์ฟที่ดีควรมีปริมาณโปรตีนสูงที่สุด โดยมีปริมาณเฉลี่ยอยู่ระหว่าง 37 – 42% สำหรับปลาคาร์ฟเล็ก และ 28 – 32% สำหรับปลาคาร์ฟใหญ่ โปรตีนที่มากพอจะทำให้ปลาโตไว เนื้อแน่นและสีสวย แต่ก็ไม่ควรเลือกอาหารที่มีโปรตีนมากเกินไปนะคะ เนื่องจากเป็นสารอาหารที่ย่อยยากสำหรับปลาพอสมควรนั่นเอง

อาหารปลาคาร์ฟที่ดีควรมีปริมาณคาร์โบไฮเดรตน้อย เนื่องจากอาจก่อให้เกิดไขมันสะสมในตัวของปลาได้ นอกจากนี้ ยังมีข้อมูลงานวิจัยออกมาเปิดเผยว่าปลาคาร์ฟหลายสายพันธุ์มีความสามารถในการย่อยคาร์โบไฮเดรตที่ต่ำ ดังนั้น เพื่อสุขภาพที่ดีของปลา จึงควรเลือกอาหารที่มีปริมาณคาร์โบไฮเดรตน้อยที่สุด

ถัดมาคือ ปริมาณไขมัน โดยอาหารปลาคาร์ฟที่ดีนั้นควรมีปริมาณไขมันอยู่ที่ 5 – 8% เพื่อสุขภาพที่แข็งแรงสมวัย ไม่ควรเลือกอาหารที่มีไขมันน้อยเกินไปเพราะอาจทำให้วิตามินบางตัวไม่สามารถดูดซึมในตัวปลาได้ แล้วยังทำให้ปลาคาร์ฟเสี่ยงเป็นโรคหัวใจหรือเกิดอาการครีบปลาสึกกร่อนอีกด้วย

วิตามินและแร่ธาตุ เป็นสารอาหารสำคัญสำหรับปลาเช่นกัน เราขอแนะนำให้คุณเลือกซื้ออาหารปลาที่มีส่วมผสมของวิตามินที่ละลายในน้ำกับวิตามินละลายในไขมัน เพื่อให้ปลาได้รับวิตามินมากพอและโตเร็วทันใจ ส่วนแร่ธาตุที่สำคัญสำหรับปลาคาร์ฟนั้น ชนิดที่สำคัญเป็นอันดับต้น ๆ เลย คือ ฟอสฟอรัสและแคลเซียมซึ่งจะช่วยบำรุงกระดูกและทำให้ปลาเจริญอาหาร เมื่อทานได้มาก ปลาคาร์ฟก็จะโตไว กลายเป็นปลาสวยงามที่เราสามารถชมได้อย่างเพลิดเพลิน

มีสารบำรุงเสริมที่เหมาะกับสายพันธุ์ปลา

เนื่องจากปลาคาร์ฟแต่ละสายพันธุ์มีลักษณะเด่นทางกายที่อาจแตกต่างกัน ดังนั้นจึงควรเลือกอาหารที่มีแร่ธาตุหรือสารบำรุงเสริมที่เหมาะกับสายพันธุ์ปลาด้วย ตัวอย่างเช่น ปลาคาร์ฟสายพันธุ์ญี่ปุ่นแท้จะมีเกล็ดทั้งตัวซึ่งต่างจากปลาคาร์ฟเยอรมันที่มีเกล็ดเฉพาะแถบใหญ่ข้างลำตัว ดังนั้น หากคุณเลือกซื้ออาหารสำหรับปลาคาร์ฟญี่ปุ่น ก็ควรจะเป็นอาหารที่มีการบำรุงเกล็ดให้แข็งแรงเงางามร่วมด้วย เพื่อให้ปลาเหล่านั้นสามารถเติบโตได้อย่างแข็งแรงและสวยงาม

ปลาคาร์ฟมีหลายสายพันธุ์ แต่ละสายพันธุ์มีลวดลายและสีสันที่แตกต่างกัน อาหารปลาคาร์ฟที่ดีควรเป็นอาหารที่ทำจากวัตถุดิบคุณภาพดี มีสารอาหาร วิตามิน และแร่ธาตุเหมาะสมสำหรับปลาคาร์ฟแต่ละช่วงวัย รวมไปถึงสารบำรุงเสริมที่เหมาะกับปลาคาร์ฟโดยเฉพาะ

ในปัจจุบัน สารบำรุงเสริมสำหรับปลาคาร์ฟมักเป็นสารที่เร่งสี เร่งโต บางยี่ห้ออาจเสริมสาหร่ายสไปรูลินาเพื่อให้ปลาแฟนซีคาร์ฟมีอัตราการเจริญเติบโตและน้ำหนักที่เพิ่มขึ้น บางยี่ห้ออาจเสริมการให้โปรตีน เพิ่มดัชนีความสมบูรณ์เพศ ให้สีสวยเด่นชัด หรือเสริมวิตามินต่าง ๆ ที่ช่วยบำรุงสุขภาพ บำรุงเกล็ดปลาและสีสัน

เลือกอาหารปลาคาร์ฟที่มีขนาดเม็ดเหมาะสมกับขนาดปลา เพื่อให้ได้สารอาหารครบถ้วน

ขนาดเม็ดเป็นสิ่งที่สำคัญมากในการเลือกซื้ออาหารปลา หากคุณใช้อาหารที่เม็ดใหญ่เกินไปก็อาจจะทำให้เหล่าปลาตัวน้อยต้องมาเสียเวลาแทะเล็มอาหาร ซึ่งกว่าจะกินหมดสารอาหารก็อาจละลายไปกับน้ำหมดแล้วและทำให้ปลาของคุณไม่ได้รับสารอาหารอย่างเพียงพอ

koi_food_22

ในทางตรงกันข้าม หากใช้อาหารที่เม็ดเล็กเกินไปก็อาจทำให้ปลาของคุณไม่อิ่มได้ เนื่องจากปลาคาร์ฟเป็นปลาที่ไม่มีอวัยวะที่ทำหน้าที่เป็นกระเพาะอาหารเหมือนกับปลาทั่วไป นอกจากนี้ การให้อาหารเม็ดเล็กยังต้องใช้ปริมาณที่มากกว่าซึ่งอาจทำให้มีค่าใช้จ่ายที่สูงขึ้นและหากปลาทานไม่ทันก็มีแนวโน้มจะส่งผลให้น้ำเน่าเสียได้ด้วย ดังนั้น อย่าลืมเลือกขนาดอาหารเม็ดให้เหมาะสมกับขนาดปลาคาร์ฟของคุณด้วย

การให้อาหารปลาคาร์ฟควรเลือกขนาดอาหารให้เหมาะสมกับขนาดของตัวปลา เพราะการให้อาหารที่มีขนาดเม็ดใหญ่กว่าปากปลาและปลาไม่สามารถกินอาหารได้ หากรอให้อาหารปลาคาร์ฟยุ่ยหรือมีขนาดเล็กลง อาหารปลาคาร์ฟจะละลายและมีความน่ากินลดลง ทำให้ปลาคาร์ฟไม่กินอาหาร ส่งผลต่อสุขภาพของปลาและคุณภาพของน้ำ

เลือกอาหารปลาคาร์ฟที่มีกลิ่นน่ารับประทานและล่อปลาได้ดี

สิ่งสำคัญอีกอย่างหนึ่งในการเลือกซื้ออาหารปลา คือ ต้องตรวจสอบด้วยว่าอาหารนั้นเป็นของใหม่หรือไม่ เหม็นหืนหรือเปล่า เนื่องจากอาหารปลาที่ดีจะมีกลิ่นหอมล่อปลาให้ว่ายมากินอย่างรวดเร็ว ทำให้ได้รับสารอาหารเข้าไปอย่างเต็มเปี่ยม นอกจากนี้ ควรเลือกสินค้าที่หีบห่อบรรจุภัณฑ์มิดชิดปิดสนิท เพื่อให้คุณแน่ใจได้ว่าอาหารปลานั้นจะยังมีกลิ่นหอมแสนสำคัญนี้อยู่ด้วยนั่นเอง

การกระตุ้นความอยากอาหารของปลาคาร์ฟที่ดี คือ เราควรเลือกอาหารปลาคาร์ฟที่น่ากิน มีกลิ่นหอม สีสันของอาหารสวยเพราะจะช่วยล่อปลาได้ดี เจ้าของสามารถสังเกตได้ว่าอาหารปลาคาร์ฟที่เพิ่งเปิดถุงใหม่ ๆ จะมีกลิ่นหอมมากกว่า ตัวเม็ดอาหารคงรูปดี มีความน่ากินสูง แต่หากอาหารสัมผัสกับอากาศเป็นเวลานาน อาจทำให้อาหารชื้น และมีกลิ่นที่น่ากินลดลง ดังนั้น การเลือกอาหารปลาคาร์ฟและการเก็บรักษาอาหารปลาคาร์ฟจึงเกี่ยวข้องกับพฤติกรรมการกินของปลาได้เช่นกัน

เลือกอาหารปลาคาร์ฟที่ละลายน้ำยากและไม่ทำให้น้ำขุ่น

นอกจากจะคอยระวังไม่ให้มีอาหารเหลือในน้ำแล้ว การเลือกอาหารปลาสูตรละลายน้ำยากและไม่ทำให้น้ำขุ่นก็สามารถช่วยรักษาคุณภาพน้ำในบ่อปลาได้เช่นกัน ในปัจจุบันมีอาหารปลาสำเร็จรูปหลายยี่ห้อที่พัฒนาสูตรใหม่ ๆ ไม่ทำให้น้ำขุ่นออกมาวางขาย คุณสามารถเลือกซื้อยี่ห้อที่ชื่นชอบได้เลย

เราควรเลือกอาหารปลาคาร์ฟที่ละลายน้ำยาก สามารถคงอยู่ในน้ำได้นานโดยไม่สลายหรือละลาย คงตัวรอให้ปลาคาร์ฟกินได้ดี เพราะปลาคาร์ฟไม่มีอวัยวะที่มีลักษณะคล้ายกระเพาะอาหารเหมือนกับปลาทั่วไป ดังนั้น ปลาคาร์ฟจึงกินอาหารได้น้อยแต่เน้นการกินที่บ่อยครั้ง หากเราเลือกอาหารปลาคาร์ฟที่ละลายน้ำเร็วและแตกตัวง่าย ทำให้ปลาคาร์ฟกินไม่ทัน กลายเป็นของเสียสะสมใต้บ่อปลาจนเกิดน้ำขุ่นได้

ผู้เชี่ยวชาญสำหรับบทความนี้

สพญ. สุทธิดา พงศ์เลิศนภากร

จบการศึกษาระดับปริญญาตรี คณะสัตวแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีมหานคร ปัจจุบันเป็นสัตวแพทย์ประจำโรงพยาบาลสัตว์บ้านนายหัว จังหวัดชุมพร ปัจจุบัน นอกจากปฎิบัติหน้าที่ตามวิชาชีพแล้ว ยังอธิบายและให้ความรู้และความเข้าใจแก่บุคคลทั่วไปเกี่ยวกับสัตว์เลี้ยงในทุก ๆ ด้านเพื่อให้เจ้าของและสัตว์เลี้ยงสามารถใช้ชีวิตได้อย่างมีความสุข

Koi Pond

บ่อปลาคาร์ฟ

TT KOI HOUSE

tt_koi_pond_01
บ่อขนาด 18 ตัน

บ่อปลาขนาด 18 ตัน ที่มีพื้นที่บ่อกรองประมาณ 35% ของความจุบ่อทั้งหมด ขนาดของบ่อเลี้ยงความจุอยู่ที่ประมาณ 12 ตัน

บ่อกรองประมาณ 35% ของความจุบ่อทั้งหมด ทำให้น้ำใสตลอดเวลา และคุณภาพของน้ำอยู่ในเกณฑ์ที่ดี รูปทรงของบ่อปรับตามพื้นที่ของตัวบ้าน และมีต้นไม้เก่าแก่ที่ปลูกไว้ โดยไม่ต้องการตัดออก จึงทำรูปทรงของบ่อมีความแปลกตา ซึ่งทำให้ต้องคำนึงถึงการไหลเวียนของน้ำภายในบ่อเป็นสำคัญ เพื่อคุณภาพของน้ำที่ดี

tt_koi_pond_02
บ่อกรองขนาด 35%
tt_house_001
มุมพักผ่อนของครอบครัว